Translate

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พิธีชงชาญี่ปุ่น


茶道 หรือ พิธีชงชาญี่ปุ่น หรือพิธีชงชาญี่ปุ่น เป็นเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยการใช้เวลาอย่างสุนทรีย์ ประกอบด้วยการปรนนิบัติระหว่างการดื่มและการดื่มชาผงสีเขียวหรือมัทชา (matcha) การจัดการพบปะกันในวงสังคมเพื่อดื่มมัทชาได้แพร่หลายในบรรดาชนชั้นสูงนับตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 14 ต้นฉบับของพิธีชงชา รูปแบบของซะโดซึ่งปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน เริ่มในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 ในระหว่างยุคโมโมยามะ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านชาคือ เซ็น โนะ ริคิว (Sen no Rikyu)
ซะโดมีลักษณะที่เป็นแบบแผน ได้พัฒนาภายใต้อิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเซ็นซึ่งจุดประสงค์สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดเรียบง่าย คือเพื่อทำวิญญาณให้บริสุทธิ์โดยการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติหัวใจแท้จริงของพิธีชงชาได้รับการบรรยายโดยคำต่าง ๆ เช่น ความสงบ ความเรียบง่าย ความสง่างาม และ สุนทรียศาสตร์แห่งความเรียบง่ายอันเข้มงวดและความยากจนที่ประณีต
ซะโดยังมีบทบาทสำคัญในด้านชีวิตด้านศิลปะของชาวญี่ปุ่น พิธีชงชาจะเกี่ยวข้องกับการชื่นชมห้องที่ประกอบพิธี ส่วนที่ติดอยู่ในห้องนั้น เครื่องใช้ในการชงชา เครื่องประดับบริเวณพิธี เช่น ภาพแขวนหรือการจัดดอกไม้ สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น การจัดสวน เครื่องปั้นดินเผาเซรามิก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลมาจากพิธีชงชา และความเป็นพิธีการที่ถือปฏิบัติในพิธีชงชาได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนามารยาทของชาวญี่ปุ่นในลักษณะที่เป็นพื้นฐาน
ภายหลังที่เซ็น โนะ ริคิว ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1591 คำสั่งสอนของท่านได้ตกทอดมาจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนต่าง ๆ ขึ้น เช่นโรงเรียนอุระเซ็งเกะ ที่ดำเนินงานอย่างแข็งขันและมีศิษย์อยู่จำนวนมาก

ซากุระ



ซากุระ ( 桜 หรือ 櫻) เป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น มีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้ เกาะไต้หวัน หมู่เกาะโอกินาวา ญี่ปุ่น ลักษณะเด่นของซากุระก็คือ เมื่อร่วง จะร่วงพร้อมกันหมด ซากุระจึงเป็นสัญลักษณ์ของเลือดทหารและซามูไรของญี่ปุ่น
มีดอกซากุระในเกาหลี, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, จีน หรือที่อื่นๆ แต่ไม่มีกลิ่น ขณะที่ซากุระของญี่ปุ่นนั้นผู้คนจำนวนมากยกย่องชื่นชมกลิ่นของมัน และมักจะกล่าวฝากไว้ในบทกวี
ดอกซากุระของญี่ปุ่นนี้ ในภาษาอังกฤษมีคำเรียกทั่วไปว่า “cherry blooms” หรือ “cherry blossom” หรือไม่ก็ “Japanese Flowering Cherry” จะบานในช่วงปลายมีนา-ต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิเริ่มอุ่นขึ้นจากฤดูหนาวที่หมดไป
ดอกซากุระ ในภาษาญี่ปุ่นนั้น เชื่อกันว่ากร่อนมาจากคำว่า ซะกุยะ (หมายถึง ผลิบาน) อันเป็นชื่อของเจ้าหญิง โคโนฮะนะซะคุยาฮิเม มีศาลบูชาของพระองค์อยู่บนยอดเขาฟูจิด้วย สำหรับพระนามของเจ้าหญิงองค์ดังกล่าวนั้น มีความหมายว่าเจ้าหญิงดอกไม้บาน และเนื่องจากซากุระเป็นดอกไม้ที่นิยมกันมากในญี่ปุ่นสมัยนั้น คำว่าดอกไม้ดังกล่าวจึงหมายถึงดอกซากุระนั่นเอง เจ้าหญิงองค์ดังกล่าวได้รับพระนามเช่นนั้น ก็เพราะมีเรื่องเล่ามาว่าทรงตกจากสวรรค์ มาบนต้นซากุระ ดังนั้น ดอกซากุระจึงถือเป็นตัวแทนของดอกไม้ญี่ปุ่น ขณะที่รัฐบาลประกาศให้ดอกเก็กฮวย (ดอก
เบญจมาส) เป็นดอกไม้ประจำชาติ

โตเกียวทาวเวอร์ 東京タワー.


Tokyo Tower คือหอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีความสูง 332.6 เมตร(1,091 ฟุต) สร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958)
นอกจากจะเป็นหอคอยที่ไว้ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ เช่น NHK TBS ฯลฯ แล้ว โตเกียวทาวเวอร์ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงโตเกียวอีกด้วย โดยปีหนึ่งจะมีคนเข้าชมหอมากกว่า 2 ล้าน 5 แสนคน
บริเวณหอคอยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ส่วนล่างสุดเป็นอาคารสูง 4 ชั้นที่ตั้งอยู่ใต้หอโดยตรง ภายในประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ ร้านคา ภัตตาคาร ฯลฯ อีก 2 ส่วนที่เหลือเป็นจุดชมทัศนียภาพของหอคอย ตั้งอยู่บนความสูง 150 เมตร และ 250 เมตรตามลำดับ

โตเกียวทาวเวอร์ ( Tokyo Tower ) ที่สูงเสียดฟ้า โครงเหล็กกล้าทาด้วยสีแดงและขาวสร้างเสร็จในปี 1958 เพื่อใช้สำหรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ และหวังให้ผู้พบเห็นรู้สึกเหมือนได้ชมหอไอเฟลของปารีส นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิว จากมุมสูงของโตเกียวได้ที่จุดชมวิวของหอโตเกียว ทาวเวอร์แห่งนี้ ตึกนี้สูง 333 เมตร ก่อสร้างด้วยเหล็กสีส้ม

ประวัติคร่าวๆ ของ โตเกียวทาวเวอร์
หลังสงครามในปี 1950 ประเทศญี่ปุ่น มองหาอนุสาวรีย์ เพื่อมาเป็นสัญญาลักษณ์ เพื่อแสดงถึงอำนาจอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก และยังถูกสร้างให้เป็นสถานีถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ และวิทยุอีกด้วย ดูเหมือนว่าหอคอยโตเกียวจะได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศตะวันตก โดยความตั้งใจของรัฐบาลโตเกียว ที่จะสร้างหอคอยสูงขนาดใหญ่แบบหอสูงที่กรุงปารีส

หอคอยโตเกียวถูกสร้างด้วยบริษัท Takenaka โดยสร้างจากสถาปัตยกรรมแบบโบราณของชาวญี่ปุ่น ที่เน้นถึงความแข็งแรง และเหนียวแน่น และโครงสร้างเสร็จในปี 1958 ใช้เงินในการก่อสร้างกว่า 2.8 พันล้านเยน เป็นหอคอยขนาดยักษ์มีความสูงกว่า 333 เมตร และถูกบันทึกลงในหนังสือระดับโลกมากมาย

ตัวอาคารประกอบด้วยโครงสร้างเหล็กกล้า และมีความสูงกว่าหอ Eiffel ถึง 13 เมตร หอคอยโตเกียวยังเป็นเหมือนเส้นขอบฟ้าของกรุงโตเกียว จากที่ไม่เคยมีอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงระดับสากล แม้ว่าจะใช้เหล็กกล้าอันก้าวหน้า แต่ก็ยังหนักกว่าครึ่งของ Sibling ของประเทศฝรั่งเศส (ประมาณ 4000 ตัน) และเป็นหนึ่งใน 21 อนุสาวรีย์หอคอยที่ยิ่งใหญ่ของโลก ("The World Federation of Great Towers" ) อีกด้วย

โตเกียวทาวเวอร์นับเป็นจุดที่หลายคนที่ไปเที่ยวเมืองโตเกียวแล้วต้องไปเยี่ยมชม โตเกียวทาวเวอร์นั้นตั้งพุ่ง ทะยานเสียดฟ้าอยู่ทางขอบฟ้าด้านใต้ สถาปัตยกรรมทาสีแดงชาวชิ้นนี้สร้างเสร็จในปี 1958 เพื่อทำการส่งสัญญาณโทรทัศน์ และหวังให้ผู้พบเห็นรู้สึกเหมือนกันได้ชมหอไอเฟลที่ปารีส และหอแห่งนี้ยังเป็นจุดชมวิวอันแสนวิเศษ

ชั้น 1 Tokyo Tower Aquarium มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่สำคัญที่สุดของประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่นิยมที่สุดในญี่ปุ่นโดยมีปลามากกว่า 50,000 ตัว และกว่า 800 สายพันธุ์เลยทีเดียว ชั้น 1 และชั้น 2 แหล่งรวมร้านขายของมากมาย ร้านอาหาร และร้านน้ำชา ในชั้นนี้สามารถหาซื้อของที่ระลึกของโตเกียว และญี่ปุ่นเพื่อซื้อเป็นของฝากได้ที่นี่ และยังมีร้านอาหารอีกหลายร้านด้วย

ชั้น 3 Tokyo Tower Carnival "พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง" ที่ชั้นนี้สามารถเดินชมหุ่นขี้ผึ้งได้ โดยเป็นหุ่นของคนสำคัญของโลก "โซนพิศวง (Mysterious Walking Zone)" ที่นี่เราสามารถพบกับเทคโนโลยีแบบภาพสามมิติ ล้ำสมัย ตื่นตาตื่นใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ชั้น 4 Tokyo Tower Trick Art Gallery ห้องจัดแสดงภาพศิลปะ และเพลิดเพลินกับภาพในระบ 3 D Government Information Display Center (Forest of Information) ห้องแนะนำเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่นสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ จัดโชว์ในรูปแบบวีดีโอ เพื่อความบันเทิง ห้องจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับสถิติ (Statistics Plaza) เรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่นำเสนอผ่านวีดีโอ และเกมส์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจของผู้มาเยี่ยมชม

ชินคันเซ็น 新幹線


ชินคันเซ็น (shinkansen) เป็นเครือข่ายของรถไฟความเร็วสูงในญี่ปุ่นซึ่งดำเนินการโดย 4 กลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น นับตั้งแต่ได้เปิดใช้ โทไกโด ชินคันเซ็น ในปี 1964 รถไฟคันนี้สามารถวิ่งด้วยความเร็ว 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้น เครือข่ายของระบบรถไฟนี้ก็ได้ขยายออกไปจนครอบคลุมพื้นที่สำคัญต่างๆของประเทศตามเมืองใหญ่ๆในเกาะฮอนชู เกาะคิวชู ความยาวเส้นทางรวม 2,459 กิโลเมตร โดยสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้จะเกิดแผ่นดินไหวหรือพายุไต้ฝุ่น ก็สามารถวิ่งได้ตามปกติ ในรางปกตินั้นรถไฟสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 443 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ทำการทดสอบในปี 1996) แต่สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นความเร็วสถิติโลกเมื่อวิ่งด้วยรางรถไฟแม่เหล็ก (แม็คเลฟ) ในปี 2003
ชินคันเซ็น มีความหมายว่า "ทางรถไฟสายใหม่" ดังนั้น ตามความหมายอย่างเป็นทางการชินคันเซ็น จะเป็นชื่อที่ใช้เรียกระบบรางรถไฟเท่านั้น ส่วนตัวรถไฟจะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "รถไฟความเร็วสูง" หรือ "รถไฟซุปเปอร์เอ็กเพรส" (超特急, chō-tokkyū) อย่างไรก็ตาม ทั้งสองชื่อก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสับสนแต่อย่างใด สามารถเรียกใช้แทนกันได้แม้แต่ในญี่ปุ่นก็ตาม
เมื่อเปรียบเทียบกับทางรถไฟสายเก่าแล้ว ชินคันเซ็นจะมีความแตกต่างตรงที่รางรถไฟจะมีความกว้างเป็นแบบมาตรฐาน และมีการขุดอุโมงค์เข้าไปหรือสร้างสะพานข้ามเมื่อเจอสิ่งกีดขวางแทนที่จะอ้อมไปแบบแต่ก่อน ทำให้เส้นทางรถไฟของชินคันเซ็นจะมีความคดเคี้ยวน้อยกว่า และช่วยร่นระยะทางให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พระที่นั่งอนันตสมาคม


ประวัติ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งภายในพระราชวังดุสิต โดยตั้งอยู่ในทางด้านทิศตะวันออกของพระที่นั่งอัมพรสถาน เพื่อใช้เป็นสถานที่เสด็จออกมหาสมาคม พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 พร้อมทั้งพระราชทานชื่อพระที่นั่งว่า พระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งเป็นชื่อพระที่นั่งองค์หนึ่งภายในพระอภิเนาว์นิเวศน์ พระบรมมหาราชวังที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ด้วยสภาพที่ทรุดโทรมยากแก่การบูรณะจึงได้รื้อลง
พระที่นั่งอนันตมหาสมาคมออกแบบโดยมาริโอ ตามานโญ โดยมีเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นแม่กองจัดการก่อสร้าง แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าได้เสด็จสวรรคตก่อนที่พระที่นั่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ดำเนินการก่อสร้างพระที่นั่งต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2458 โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 8 ปี ใช้งบประมาณประมาณ 15 ล้านบาท

สถาปัตยกรรม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯ ถวายการต้อนรับสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีต่างประเทศ และทรงร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
พระที่นั่งอนันตมหาสมาคม มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนสซองส์ (Neo Renaissance) และนีโอคลาสสิก (Neo classic) โดยตกแต่งพระที่นั่งด้วยหินอ่อน ซึ่งสั่งมาจากเมืองคารารา ประเทศอิตาลี โดยมีจุดเด่น คือ มีหลังคาโดมคลาสสิกของโรมอยู่ตรงกลาง และมีโดมเล็กๆโดยรอบอีก 6 โดม รวมทั้งสิ้นมี 7 โดม
ภายในพระที่นั่ง บนเพดานโดมมีภาพเขียนเฟรสโก เขียนบนปูนเปียก ซึ่งภาพจะติดทนกว่าภาพที่เขียนบนปูนแห้ง (ภาพจิตรกรรมไทยนิยมเขียนแบบปูนแห้ง)เกี่ยวกับ พระราชกรณียกิจที่สำคัญ ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1-6 จำนวน 6 ภาพ โดยฝีมือเขียนภาพของ นายซี. รีโกลีและศาสตราจารย์แกลิเลโอ กินี
เพดานโดมด้านทิศเหนือ เป็นภาพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เสด็จกลับจากราชการทัพที่เขมร
เพดานโดมด้านทิศตะวันออก เป็นภาพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอุปถัมภ์งานศิลปะ
เพดานโดมด้านทิศตะวันตก เป็นภาพเหตุการณ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับเบื้องหน้าพระพุทธชินสีห์ แวดล้อมด้วย พระภิกษุและนักบวชต่างชาติศาสนนิกายต่างๆ แสดงนัยแห่งพระราชจรรยา ที่ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกของทุกศาสนาโดยไม่รังเกียจกีดกัน
เพดานโดมด้านทิศใต้ของท้องพระโรงกลาง เป็นภาพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานอภัยทาน และทรงเลิกประเพณีทาส
เพดานโดมด้านทิศตะวันออกของท้องพระโรงกลาง เป็นภาพเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกประทับ ณ พระที่นั่งบุษบกมาลาที่มุขเด็จ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เนื่องในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช เมื่อ พ.ศ. 2454
เพดานโดมกลาง ซึ่งเป็นโดมใหญ่ที่สุด มีจารึกพระปรมาภิไธยย่อ “จปร.” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เพดานนับจากจากใต้โดมตลอดทั้งบริเวณท้องพระโรงกลางมีจารึกพระปรมาภิไธยย่อ “จปร.” สลับกัน “วปร.” อันเป็นพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระที่นั่งวิมานเมฆ


พระที่นั่งวิมานเมฆ

พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรกที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ภายในสวนดุสิต สวนดุสิต เป็นอุทยานสถาน ที่สร้างขึ้นเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสทวีปยุโรปในปี พุทธศักราช ๒๔๔๐ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อที่สวนและนาระหว่างคลองผดุงกรุงเกษม จรดคลองสามเสน ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์)
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๓ มีพระบรมราชโองการให้รื้อย้าย พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ จาก พระจุฑาธุชราชฐาน ณ เกาะสีชัง มาปลูกสร้างขึ้นใหม่โดยมี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัตติวงศ์ ทรงกำกับการออกแบบ และเมื่อแล้วเสร็จจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองพระที่นั่งวิมานเมฆเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๔
พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นพระที่นั่งที่สร้างด้วยไม้สักทองที่ใหญ่ ที่สุดในโลก
มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่งดงามประณีตและได้รับอิทธิพลการก่อสร้างแบบตะวันตก องค์พระที่นั่งเป็นรูปอักษรตัวแอลในภาษาอังกฤษ คือ สร้างเป็นรูปสองแฉกตั้งฉากกันแต่ละด้านยาว ๖๐ เมตร สูง ๒๐ เมตร เป็นอาคาร ๓ ชั้นเฉพาะส่วนที่ประทับซึ่งเรียกว่า แปดเหลี่ยม มี ๔ ชั้น ชั้นล่าสุดก่ออิฐ ถือปูน ชั้นถัดขึ้นไปสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานจากพระบรมมหาราชวัง มาประทับเป็นการถาวร ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นเวลาถึง ๕ ปี จนการก่อสร้าง พระที่นั่งอัมพรสถาน เสร็จสมบูรณ์ ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๙จึงทรงย้ายไปประทับ ที่ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕)เสด็จสวรรคตในปี พุทธศักราช ๒๔๕๓ พระที่นั่งวิมานเมฆก็ปิดร้างลงเพราะ เจ้านายฝ่ายใน ต้องเสด็จกลับมาประทับในพระบรมมหาราชวังตามราชประเพณี
ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๓ ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๖)พระองค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้สมเด็จ พระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา เสด็จมาประทับ ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ และเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต สมเด็จพระนางเจ้า อินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา ได้ทรงย้ายไป ประทับที่ พระตำหนักในสวนหงส์ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ของ พระที่นั่งวิมานเมฆ

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระที่นั่งวิมานเมฆ ก็มิได้ ใช้เป็นพระราชฐาน ที่ประทับ ของเจ้านายพระองค์ใดอีก ได้แต่ปิดร้าง และทรุดโทรม ตามกาลเวลา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๗) แม้ว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณะ ซ่อมแซม พระที่นั่งวิมานเมฆ หลายครั้ง เช่น การซ่อมเปลี่ยนสายไฟฟ้า ภายในองค์พระที่นั่ง การซ่อมเสามุข ศาลาท่าน้ำ เป็นต้น แต่ในที่สุด ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้นมา พระที่นั่งวิมานเมฆก็ใช้เป็นเพียง สถานที่เก็บราชพัสดุ ของสำนักพระราชวังตลอดมาถึง ๕๐ ปี

จนกระทั่งปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ในมหามงคลสมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงสำรวจและ พบว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มีลักษณะ ทางสถาปัตยกรรม ที่ประณีตงดงาม และยังมีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ รวมถึง ศิลปวัตถุส่วนพระองค์ เป็นจำนวนมาก จึงทรงขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บูรณะซ่อมแซม เพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเพื่อเป็น มรดกของชาติสืบไป

พระที่นั่งวิมานเมฆ นี้มีห้องจัดแสดงรวมทั้งสิ้น ๓๑ ห้อง การจัดแสดง บางห้องยังคงลักษณะบรรยากาศในอดีตไว้ เช่น หมู่ห้องพระบรรทม ท้องพระโรงและห้องสรง เป็นต้น บางห้องจัดแสดงศิลปวัตถุแยกตาม ประเภท เช่น ห้องจัดแสดงเครื่องเงิน ห้องจัดแสดงเครื่องกระเบื้องลายคราม ห้องจัดแสดงเครื่องแก้วเจียระไน และห้องจัดแสดงเครื่องงา เป็นต้น

นอกจาก พระที่นั่งวิมานเมฆ ภายในบริเวณสวนดุสิตหรือวังสวนดุสิตนี้(ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามใหม่ว่า พระราชวังดุสิต และเรียกขานนามนี้ มาจนถึงปัจจุบัน) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดิน สำหรับสร้างพระตำหนัก และตำหนักที่ประทับ ของพระมเหสี พระเจ้าลูกเธอ และเจ้าจอมมารดาเป็นส่วนๆและพระราชทานชื่อสวน คลอง ประตู และ ถนนต่าง ๆ ตามชื่อเครื่องลายครามของจีนที่เรียกกันว่า เครื่องกิมตึ๋ง ซึ่งนิยมสะสมกันในสมัยนั้น ปัจจุบันหมู่พระตำหนัก ของพระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายใน

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บ้านสุขาวดี

บ้านสุขาวดี


ภายในบริเวณบ้านประกอบด้วย อาคารหลัก ดังนี้

อาคารประชาสัมพันธ์
เป็นที่ตั้งกองอำนวยการสำนักงานผู้บริหารโครงการ ฝ่ายประชาสัมพันธ์
และจุดขายบัตรเข้าชมภายในบ้านสุขาวดี



อาคารโดมพระ
เป็นอาคารทรงโดมประดิษฐานพระพุทธรูปปางประสูติ เป็นพระประธานบ้านสุขาวดี
ภายในบริเวณอาคารโดมพระประดับด้วยภาพ และประวัติพระอริยะสงฆ์



อาคารเจ้าแม่กวนอิม
เป็นอาคาร 5 ชั้น แต่ละชั้นจัดเป็นห้องรับรอง และห้องประชุมขนาดใหญ่
ประดับด้วยภาพวาดงดงามหลากหลาย บนดาดฟ้าสูงสุดเป็นโดมทรงกลม
ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมซึ่งงดงามอลังการด้วยเครื่องประดับ
และเครื่องบูชาอันสูงค่า ภายในโดมแห่งนี้ประดับด้วยรูปปั้นอันแสดงถึงปรัชญา
และปริศนาธรรมมากมาย อาทิ พระสังกัจจายน์ กับเด็กเป่าแตร ม้า 18 ตัว แม่ไก่กับลูกไก่ เป็นต้น



อาคารครัวของโลก
เป็นอาคารที่มีห้องประชุมใหญ่สามารถจุคนได้ถึง 2,500 คน
ใช้แรงงานคนในการก่อสร้างถึง 2,700 คน สร้างเสร็จในเวลาเพียง 30 วัน
ภายในอาคารครัวของโลกประกอบด้วยสัญลักษณ์ของเกษตรกรไทยมากมาย
เช่น พืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ และปรัชญาแนวทางการบริหารการปกครอง



อาคารแปดเหลี่ยม
เป็นศูนย์อาหาร - เครื่องดื่ม และเป็นแหล่งรวมของสินค้าของฝาก
ของทะเล จากชายทะเลตะวันออก และสินค้าคุณภาพภายใต้เครื่องหมาย “HEALTH FOOD”
ของสหฟาร์ม เพื่อให้เลือกซื้อกลับบ้านทั่วบริเวณบ้านยังตกแต่งด้วยสวนอันสวยงาม
สระน้ำ พระบรมรูปสมเด็จพระปิยะมหาราช พระรูปกรมหลวงชุมพร เทวดาประจำตระกูลโชติเทวัญ




อาคารไอริสโซเฟีย
เป็นอาคารแห่งสุขภาพ - ความสวยความงาม และสินค้า O-TOP ระดับ 4 - 5 ดาว
ทั่วประเทศ ได้นำมารวบรวมไว้ที่อาคารแห่งนี้เพื่อให้ท่านสามารถเลือกซื้อหาได้ตามความพอใจ

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คุณทองแท้





คุณทองแท้ สุนัขทรงเลี้ยงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นสุนัขตัวผู้ พันธุ์บาเซนจิ (Basenji) ที่ นายสัตวแพทย์ นพฤกษ์ จันทิก นายสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ร่วมดูแลสุนัขทรงเลี้ยง ไปพบที่ประเทศเยอรมนี และนำมาทูลเกล้าฯ ถวาย และได้รับพระราชทานชื่อว่า คุณทองแท้
คุณทองแท้ เข้าถวายตัวเมื่อ
พ.ศ. 2542 ขณะอายุได้ 8 เดือน ซึ่งเป็นสุนัขที่โตแล้ว จึงค่อนข้างเป็นสุนัขขี้ตื่น เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกให้เข้าเฝ้าก็จะตื่นกลัวมาก ชอบหลบเข้าไปมุดอยู่ตามใต้โต๊ะ ใต้เก้าอี้ จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งว่า ตอนนี้เปลี่ยนชื่อแล้ว จากคุณทองแท้เป็นคุณไอ้มุด
คุณทองแท้ ได้เป็นคู่ของ
คุณทองกวาว และคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยงแต่เดิมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีลูกสุนัขจำนวน 2 ครอก คือ


1. กับคุณทองกวาว จำนวน 9 สุนัข เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2543 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อให้เป็นชื่อต้นไม้ที่มีคำว่า "ทอง" ผสมอยู่ และพระราชทานนามสกุลว่า "เจริญเกศ" (เนื่องจากเมื่อก่อนคุณทองกวาว เป็นสุนัขจรจัด อาศัยอยู่ที่ร้านตัดผม)
- คุณทองพันดุลย์ เพศผู้ น้ำหนัก 240 กรัม คลอดเอง
- คุณทองพันชั่ง เพศผู้ น้ำหนัก 240 กรัม คลอดเอง
- คุณทองมีดขูด เพศผู้ น้ำหนัก 200 กรัม ผ่าออก (ชื่อนี้มีความหมายว่า เป็นสุนัขตัวแรกที่ต้องใช้มีดผ่าออกมา)
- คุณโล่ห์ทอง เพศผู้ น้ำหนัก 200 กรัม ผ่าออก
- คุณทองเดือนห้า เพศผู้ น้ำหนัก 180 กรัม ผ่าออก
- คุณสร้อยทอง เพศเมีย น้ำหนัก 80 กรัม ผ่าออก (หรือ คุณทองเปี๊ยก เพราะมีตัวเล็กที่สุด)
- คุณทองชมพู เพศเมีย น้ำหนัก 220 กรัม ผ่าออก (ภายหลังเปลี่ยนเป็นทองอุไร)
- คุณทองเครือวัลย์ เพศเมีย น้ำหนัก 240 กรัม ผ่าออก
- คุณทองเจิม เพศผู้ น้ำหนัก 180 กรัม ผ่าออก (ภายหลังเปลี่ยนเป็นสักทอง) (สุนัขตัวนี้มีขีดขาว ๆ ที่จมูก ต่อขึ้นมาถึงหน้าผาก เป็นรูปลิ่ม และมีจุดสีดำอยู่บนหัวเหมือนมีใครมาเจิมไว้ จึงพระราชทานชื่อว่า ทองเจิม)

2. กับ คุณทองแดง จำนวน 9 สุนัข เกิดเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2543 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อให้เป็นชื่อขนมที่มีคำว่า "ทอง" และพระราชทานนามสกุลว่า "สุวรรณชาด"
- คุณทองชมพูนุท เพศเมีย น้ำหนัก 360 กรัม คลอดเอง สีน้ำตาลแก่ สีขาวรอบจมูก มีขีดขาวที่หน้าผากครึ่งคอซ้ายกว้าง ครึ่งคอขวาแคบ
- คุณทองเอก เพศผู้ น้ำหนัก 310 กรัม คลอดเอง สีน้ำตาลแก่ ขีดขาวขวางเล็ก มีถุงเท้ายาว 2 ขาหน้า สั้นขาหลัง หางมีจุดขาว
- คุณทองม้วน เพศผู้ น้ำหนัก 330 กรัม คลอดเอง สีน้ำตาลแก่ ครึ่งคอซ้าย หางจุดขาว
- คุณทองทัต เพศผู้ น้ำหนัก 350 กรัม คลอดเอง สีน้ำตาลแดงเกลี้ยง มีจุดขาวเหนือจมูก ถุงยาวที่ขาหน้าซ้าย สั้นขาหน้าขวา ขาหลัง หน้าอกขาว หางมีจุดขาว
- คุณทองพลุ เพศผู้ น้ำหนัก 300 กรัม ต้องฉีดยาช่วย สีดำ มีขีดขาวขวาง ถุงยาว 2 ขาหน้า หางจุดเล็ก
- คุณทองพลุมีลูกกับคุณหิรัญวารี จำนวน 6 สุนัข ในตระกูล "นิล"
- คุณทองหยิบ เพศผู้ น้ำหนัก 350 กรัม คลอดเอง สีน้ำตาลแก่ จมูกจุดขาวขึ้นเป็นเปลวบนหน้าผาก ครึ่งคอซ้ายลงไปทางท้าย ขวาขึ้นบนหัว หางจุดขาวยาว
- คุณทองหยอด เพศเมีย น้ำหนัก 320 กรัม คลอดเอง สีน้ำตาลแก่ จมูกจุดขาวขึ้นเป็นเปลวบนหน้าผาก ต่อไปหลังหัว ต่อไปที่คอลงทางขวา หางจุดขาวยาว ถุงยาว คุณทองหยอดมีลูกกับคุณน้ำชา จำนวน 8 สุนัข ในตระกูล "ข้าว"
- คุณทองอัฐ เพศเมีย น้ำหนัก 290 กรัม คลอดเอง เพศเมีย สีน้ำตาลดำ จมูกจุดขาวขึ้นเป็นเปลวบนหน้าผาก รอบคอ ถุงยาว
- คุณทองนพคุณ เพศผู้ น้ำหนัก 360 กรัม คลอดเอง สีดำ ผสมน้ำตาลและขาว (สามสี) จมูกจุดขาวขึ้นเป็นจุดกว้างบนหน้าผาก คอแคบ ทางซ้ายกว้างออกไปทางขวา ลูกศรขึ้นบนหัว ถุงยาว หางจุดขาวยาว

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไอศกรีมที่แพงที่สุดในโลก !


ถ้วยนี้มีชื่อว่า Grand Opulence เป็นชื่อ ไอศครีมซันเด ( Sundae ) ที่แพงที่สุดในโลก ที่ขายในภัตตาคาร Serendipity restaurant ที่มหานครนิวยอร์ค ( New York ) ราคาก็เหนาะๆ ถ้วยละ 35,000 บาท
ส่วนประกอบของ Grand Opulence
- ไอศครีมวนิลา คุณภาพเยี่ยมที่สุดจากหมู่เกาะตาฮิติ 5 ก้อน ( Scoops )
- ราดด้วยวนิลาจาก มาดากัสการ์ ( Madagascar vanilla )
- ตกแต่งหน้าด้วยแผ่นทองคำเปลวร 23K รูปใบไม้
- โรยด้วยช็อกโกแลค ที่แพงที่สุดในโลก ยี่ห้อ Amedei Porcelana ผสมกับสุดยอดช็อกโกแลคยี่ห้อ Chuao chocolate
- โรยด้วยลูกกวาดรสผลไม้ชื่อก้องจากปารีส หุ้มด้วยทองคำเปลว
- เห็ดทรัฟเฟิล ( Truffle ) เป็นเห็ดที่หายากและแพงมาก
- ลูกเชอร์รี่ Marzipan
- ไข่ปลาคาร์เวียร์รสหวาน และกลิ่นหอมเหมือน ส้ม กับ Armagnac สีออกเหลืองทอง ยี่ห้อ "salt-free American Golden caviar"
- เสริฟในถ้วยแก้วคริสตัน พร้อมกับช้อนทอง 18K