Translate

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

o-net ชุด 200!

หึ่ง! O-NET ม.6 วิทย์วุ่นข้อสอบชุด 200 มีปัญหาชวด 40 คะแนน
สทศ.งานเข้าอีกเด็ก ม.6 โพสต์กระจายผ่านเว็บดัง "O-NET วิทย์วุ่น!! ข้อสอบชุด 200 มีปัญหาชวด 40 คะแนน" ข้อ 29 หาย และมีข้อซ้ำเยอะมาก ด้าน "สัมพันธ์" นั่งไม่ติดสั่งเช็คข้อเท็จจริงก่อนแถลง แต่ยังปลื้มยอดขาดสอบลดลง เด็กตั้งใจทำข้อสอบมากขึ้น/มีผลจบ-เรียนต่อ พร้อมสมัครสอบรอบพิเศษ กรณีเหตุสุดวิสัย 11-19 ก.พ.นี้ 

เมื่อวันที่ 10 ก.พ.56 ที่สนามสอบโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) นายเกษม สดงาม ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เดินทางมาตรวจเยี่ยมสนามสอบแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้น ม.6 ปีการศึกษา 2555 จัดสอบวันที่ 9-10 ก.พ.56 โดยมีนายธีระพงศ์ นิยมทอง ผอ.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ให้การต้อนรับ 

ทั้งนี้ นายสัมพันธ์ กล่าวว่า ภาพรวมการจัดสอบ O-NET เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยังไม่ได้รับรายงานการทุจริต โดยการสอบวันที่ 2 สอบรายวิชาภาษาไทย วิทยาศาสตร์ สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ซึ่ง สทศ.มีความมั่นใจในระบบการบริหารการสอบและมาตรฐานข้อสอบ โดยที่สนามสอบโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม มีนักเรียนเข้าสอบจำนวน 929 คน 

ผอ.สทศ. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามสำหรับการสอบ O-NET มีแนวโน้มจำนวนนักเรียนขาดสอบลดลง และนักเรียนตั้งใจสอบมากขึ้น เพราะโรงเรียนจะนำผลสอบไปใช้ในการประกอบการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อ อีกทั้งทางโรงเรียนจะนำผลสอบ O-NET ไปบรรจุไว้ในระเบียนแสดงผลการเรียนของนักเรียน หรือ ปพ.1 ด้วย ขณะที่ในส่วนของมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ใช้ผลสอบ O-NET เป็นส่วนหนึ่งในการเข้าศึกษาต่อ โดยเฉพาะระบบรับตรง ของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ที่ใช้คะแนน O-NET ประกอบการคัดเลือกถึง 60% และเป็นปีแรกที่ กสพท.จะประกาศผลการคัดเลือกหลังจากที่มีการประกาศผลคะแนน O-NET แล้ว ทำให้เด็กต้องตั้งใจสอบมากขึ้น 

"ส่วนนักเรียนที่ขาดสอบ เพราะเหตุสุดวิสัยจนทำให้ไม่สามารถเดินทางมาสอบตามเวลาที่กำหนดได้ อาทิ เกิดอุบัติเหตุ ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นต้น สทศ.จะเปิดให้ยื่นใบสมัครสอบรอบพิเศษ ทั้งระดับชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ในวันที่ 6-7 มี.ค.56 สมัครสอบได้ทางไปรษณีย์หรือด้วยตนเองที่ สทศ.ในวันที่ 11-19 ก.พ.56 ค่าสมัครสอบชุดวิชาละ 100 บาท ประกาศผลสอบ ป.6 และ ม.3 วันที่ 15 มี.ค. และ ม.6 วันที่ 10 เม.ย. โดยนักเรียนจะต้องแสดงหลักฐาน อาทิ ใบรับรองแพทย์ และจะต้องมี หนังสือรับรองจาก ผอ.โรงเรียน หนังสือรับรองจาก ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน" นายสัมพันธ์กล่าว 

นางวารุณี ปัทมะศังข์ รอง ผอ.ศูนย์ทดสอบทางการศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการร่วมสังเกตการณ์สนามสอบในพื้นที่รับผิดชอบหลายแห่ง พบปัญหานักเรียนจำนวนมาก มาถึงห้องสอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าห้องสอบตามเวลา ถือโอกาสใช้สิทธิ สามารถเข้าห้องสอบสายได้ 30 นาทีสำหรับกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย และส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนที่เข้าสอบ ซึ่งตรงนี้ถือว่านักเรียนไม่มีวินัย ดังนั้นตนจะเสนอขอให้ สทศ.แก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอาจจะต้องมีการกำหนดให้ชัดเจนว่า นักเรียนที่มาถึงห้องสอบแล้วควรจะเข้าห้องทันที 

------------ 

ช่วงเย็นวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในสังคมออนไลน์ มีการโพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ชื่อดังถึงปัญหาข้อสอบ O-NET ชั้น ม.6 จั่วหัวเรื่องว่า O-NET วิทย์วุ่น!! ข้อสอบชุด 200 มีปัญหาชวด 40 คะแนน โดยมีเนื้อความว่า 
" สวัสดีครับ..ม.3 งานเข้าที่ O-NET ไทย ม.6 ก็งานเข้าที่ O-NET วิทย์ครับ เพราะล่าสุดมีน้องๆ ม.6 แจ้งมาทางทวิตเตอร์...และในบอร์ดแชร์คำตอบเว็บ...เยอะมากว่า ข้อสอบ O-NET วิทยาศาสตร์ชุดที่ 200 ในหลายสนามสอบมีปัญหา อาทิ ตัวเลือกซ้ำ, เลขข้อหาย, เรียงลำดับข้อไม่ถูก ซึ่งมีมากกว่า 30 ข้อรวมกว่า 40 คะแนน ทั้งนี้ยังได้รับแจ้งมาว่าบางสนามสอบตัดสินใจให้นักเรียนที่ได้ข้อสอบชุด 200 ฝนคำตอบลงในกระดาษคำถาม ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่าจะตรวจกันอย่างไร" 
ขณะเดียวกันก็มีนักเรียน ม.6 ที่สอบในชุดวิชาดังกล่าว เข้ามาแสดงความเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น อาทิ 
"ศูนย์สอบโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย ข้อสอบชุด 200 มีปัญหาเยอะมากค่ะ ข้อซ้ำ ข้อหาย โจทย์ซ้ำแต่คนละข้อก็มีค่ะ" 

"ข้อสอบโรงเรียนลำปางกัลยานี ชุดที่ 200 ผิดพลาดค่ะ ข้อ 29 หาย ข้อซ้ำเยอะมาก" 

"ที่เชียงใหม่ ชุด 200 ที่มีปัญหา อาจารย์บอกว่าโทรไปรายงาน สทศ.แล้ว เขาบอกว่าให้ฝนลงไปทุกข้อ จริงเท็จแค่ไหนไม่รู้นะคะ" เป็น
ต้น 

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเรื่องนี้กับ ผอ.สทศ. ซึ่งได้ทราบปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและจะเปิดแถลงข่าวโดยเร็ว ทั้งนี้ ผอ.สทศ.ย้ำว่าหากเกิดความผิดพลาดใดๆ การแก้ปัญหาจะยึดหลักความยุติธรรมของผู้เข้าสอบทุกคน 
 
ที่มา สยามรัฐ

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

น้ำผึ้ง



น้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar) โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ บ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า “น้ำผึ้งสุก” เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20-21 เปอร์เซ็นต์
น้ำผึ้งในตำรับยาไทย
เมื่อรู้ว่าน้ำผึ้งเป็นเภสัชทานแล้ว ฉันก็ยังอยากรู้ต่อไปว่า น้ำผึ้งยาไทยได้อย่างไรบ้าง หมอบุญยืน ผ่องแผ้ว แพทย์แผนไทยประจำคลินิกหนองบง จังหวัดลพบุรี ก็กรุณาเล่าให้ฟังดังนี้
น้ำผึ้งช่วยแต่งรสยา - น้ำผึ้งมีรสหวานฝาด ร้อนเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว ทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนคนไข้กินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น และช่วยชูกำลัง ซึ่งน้ำผึ้งเข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด
น้ำผึ้งหนึ่งในน้ำกระสายยา - น้ำกระสายยาคือส่วนผสมหนึ่งของตำรับยาไทย ที่ช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ได้จากพืช อาทิ น้ำมะนาว ได้จากธาตุ เช่น เปลือกหอยนำมาฝนกับน้ำ ได้จากสัตว์ เช่น งาช้าง รวมถึงน้ำผึ้งที่ถือเป็นน้ำกระสายยาตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และกระจายเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น หรือบางครั้งนำน้ำผึ้งมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอน แต่ผู้ปรุงยาควรนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิฉะนั้น ยาลูกกลอนจะขึ้นราภายหลัง

น้ำผึ้งในตำรายาจีน
ภาษาจีน แต้จิ๋ว เรียกน้ำผึ้งว่า "พังบิ๊ก" เป็นยาบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะบำรุงลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำผึ้งมีรสชาติหวาน ชุ่มคอ สามารถใช้ได้ทั้งเดี่ยว และนำไปเป็นส่วนผสมของยา กรณีที่ใช้เดี่ยวโดยมากใช้ในกรณีลำไส้ไม่ดี
ถ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว กินน้ำผึ้งประจำจะไปช่วยเคลือบลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย แต่สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะแข็งตัว ถ้าปล่อยให้ท้องผูกนานๆ กากอาหารจะขูดผนังลำไส้ อาจทำให้เป็นแผล และมีปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งถ้าเรากินน้ำผึ้งเพื่อช่วยเคลือบลำไส้จะช่วยลดปัญหาลงได้

สารสำคัญในน้ำผึ้งน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโครส ฟลุคโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, ฟอสฟอรัส)ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ
เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วาซาบิ

ในการรับประทานอาหารญี่ปุ่นครั้งหน้า เมื่อถ้าคุณจะแต้มเครื่องปรุงรสสีเขียว ๆ ลงไปในปลาดิบที่คุณชอบ คุณน่าจะลองนึกถึงประโยชน์ต่อร่างกายที่คุณกำลังจะได้รับเข้าไปด้วย เพราะจากการศึกษาล่าสุดพบว่า วาซาบิ เครื่องปรุงรสเผ็ดสีเขียวของชาวญี่ปุ่นนั้น มีคุณประโยชน์ทางยาอย่างหลากหลาย
โตชิโอะ ลิยาม่า หัวหน้าทีมวิจัยวาซาบิ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงโตเกียว ระบุว่า วาซาบิ มีผลในการฆ่าเชื้อโรค มันสามารถต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด และยังสามารถกำจัดพยาธิ Anisakis พยาธิ ที่อาศัยอยู่ในปลาได้ เมื่อมันผ่านเข้ามาในระบบการย่อยอาหารของมนุษย์ และเมื่อไม่นานมานี้ ยังมีการศึกษาพบอีกว่า วาซาบิ ยังมีฤทธิ์ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ซึ่งเป็นผลดีต่อผิวหนัง และยังช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ด้วย
วาซาบิ เป็นเครื่องปรุงที่ทำมาจากต้น Canola โดยจะนำส่วนโคนลำต้นที่มีความหนาออกมาใช้ และหลาย ๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนรากของมัน เมื่อนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร จะมาในรูปของเครื่องปรุงรสที่มีกลิ่นฉุน รับประทานเข้าไปทำให้แสบจมูกในระยะสั้น ๆ ก่อนที่รสชาดจะเปลี่ยนไปเป็นความกลมกล่อม ทั้งขมทั้งหวานผสมผสานกันไป
วาซาบิเป็นเครื่องปรุงรสที่ชาวญี่ปุ่นใช้กันมากนานกว่าพันปีแล้ว แต่เมื่อไม่นานนี้เอง มันกลายมาเป็นเครื่องปรุงยอดนิยมประจำโต๊ะอาหาร และกลายเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการทำครัวของชาวญี่ปุ่นที่รับประทานกับปลาดิบ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และยังมีการค้นพบอีกด้วยว่า ผู้ที่รับประทานปลาดิบพร้อมกับวาซาบินี้ ไม่ค่อยจะป่วยเป็นโรคอะไร


การปลูกวาซาบินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องลงทุนค่อนข้างสูง พืชชนิดนี้ มักจะปลูกในที่โล่ง แต่จะต้องมีการจำกัดปริมาณแสงแดด ไม่ให้ส่งลงมาถูกต้นพืชโดยตรง ในช่วงฤดูร้อน เมื่อไม่นานมานี้ เกษตรกรชาวญี่ปุ่น ถูกแย่งตลาดด้วยการสั่งนำเข้าต้นพืชที่มีกรรมวิธีการปลูกสมัยใหม่ และราคาถูกกว่า จากไต้หวันและฟิลิปปินส์แม้ว่าผลิตผลของพวกเขาจะมีรสเผ็ดเกินกว่าที่จะนำมารับประทานเดี่ยว ๆ แต่ก็ได้รับการสั่งนำเขาจำนวนมาก จากบริษัทใหญ่ ๆ ในญี่ปุ่น เพื่อที่จะนำมาผสมผสานกับเครื่องปรุงอื่น ๆ เช่น หัวไชเท้าและเครื่องเทศ ที่เรียกกันว่า เนริ-วาซาบิ และตลาดของเครื่องปรุง เนริ-วาซาบินี้ มีมูลค่าถึง 16 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี ในขณะที่วาซาบิแบบดังเดิม มีมูลค่าในตลาด 36 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี

ลีลาวดี



ลั่นทม เป็นไม้ดอกยืนต้นในสกุล Plumeria มีหลายชนิดด้วยกัน บางคนมีความเชื่อว่า ไม่ควรปลูกต้นลั่นทมในบ้าน เนื่องจากมีชื่อเป็นอัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า 'ระทม' ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ แต่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อใหม่ ว่า ลีลาวดี และนิยมปลูกกันแพร่หลายอย่างมาก ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ ได้แก่ จำปา, จำปาลาว และจำปาขอม เป็นต้น (สำหรับชื่อภาษาอังกกฤษ ได้แก่ Frangipani, Plumeria, Templetree)
ลั่นทม เป็นไม้ที่นำมาจากเขมร ทางภาคใต้ เรียกชื่อว่า "ต้นขอม" "ดอกอม" ส่วนใหญ่ที่ปลูกกันเป็น "ลั่นทมขาว" เล่ากันว่า ไม้นี้นำเข้ามาปลูกในไทย เมื่อคราวไปตีนครธม ได้ชัยชนะ นำต้นไม้นี้เข้ามาปลูก และเรียกชื่อเป็นที่ระลึกว่า "ลั่นธม" "ลั่น" แปลว่ ตี เช่น ลั่นฆ้อง ลั่นกลอง "ธม" หมายถึง "นครธม" ภายหลัง "ลั่นธม" เพี้ยนเป็น "ลั่นทม"

ลั่นทมเป็นพืชนิยมปลูกเพราะดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงาม ได้แก่ขาว เหลืองอ่อน แดง ชมพู ฯลฯ บางดอกมีมากกว่า 1 สี
ดอกลั่นทมยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว และพบได้มากบริเวณทางขึ้นพระธาตุที่เมืองหลวงพระบาง สำหรับในประเทศไทยนั้นมักพบต้นลั่นทมตามธรรมชาติทางภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่

ความเชื่อคนโบราณมีความเชื่อว่า ต้นลั่นทมนั้น ไม่ควรปลูกในบ้าน ด้วยมีชื่ออัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า ระทม ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ, จึงได้มีการเรียกชื่อเสียใหม่ให้เป็นมงคล ว่า ลีลาวดี ทั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดเปลี่ยนชื่อแต่อย่างใด
มีความเข้าใจผิดกันว่า ลีลาวดี นั้นเป็นชื่อพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพียงความเข้าใจผิด เพราะเป็นชื่อพระราชทานจาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ลีลาวดี ถ้าแปลตามความหมายตามอักษรแล้ว ก็คือต้นดอกไม้ที่มีท่วงท่าสวยงามอ่อนช้อย ไม้นี้เดิมเรียก ลั่นทม เป็นไม้ยืนต้นในเขตร้อน ที่เห็นทั่วๆไปมีดอกสีขาว แดง ชมพู ชื่อเดิมของพันธุ์ไม้นี้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำนี้ มาจากคำว่า ระทม ซึ่งหมายถึงความเศร้าโศก จึงไม่เป็นที่นิยมปลูกในบริเวณบ้านหรือที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตามมีผู้มีความรู้ด้านภาษาไทยกล่าวถึงคำว่า ลั่นทม ว่า ลั่นทมที่เรียกกันแต่โบราณ หมายถึง การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข ดังนั้นคำว่า ลั่นทม แท้จริงแล้วเป็นคำผสมจาก ลั่น+ทม โดยคำแรกหมายถึง แตกหัก ละทิ้ง และคำหลังหมายถึงความทุกข์โศก [ต้องการแหล่งอ้างอิง]
มีตำนานเล่าขานถึงที่มาของลั่นทมในลักษณะต่าง ๆ กัน อย่างไรก็ตามพันธุ์ไม้นี้ตามหลักสากลมีชื่อว่า ฟรังกีปานี (frangipani) และเรียกกันทั่วไปว่า พลูมมีเรีย (plumeria)

ไหม

ไหมเป็นแมลงประเภทผีเสื้อกลางคืน ที่กิน ใบหม่อนเป็นอาหาร โดยมี ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bombyx mori Linn. ชื่อ สามัญ คือ silkworm วงศ์ Bombicidae การเจริญเติบโตของไหม จะมี การเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างสมบูรณ์ ใน 4 ขั้นตอน คือ ระยะไข่ ระยะตัวหนอน ระยะดักแด้ และระยะผีเสื้อ ตัวหนอนในช่วงสุดท้าย จะพ่นใยไหม เพื่อทำรังห่อหุ้มตัวแล้วลอกคราบกลายเป็นดักแด้ ใยไหมจัดเป็นเส้นใยตามธรรมชาติที่มีความเหนียวมากที่สุด
ลักษณะทั่วไปของไหม
ไหมเป็นแมลงที่มีการเจริญเติบโตแบบวงจรชีวิตสมบูรณ์ (Complete Metamorphosis)คือมีระยะไข่หนอนดักแด้และผีเสื้อซึ่งในแต่ละระยะการเจริญเติบโตนั้นมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไปไหมสามารถเลี้ยงได้ในทุกภาคของประเทศไทยอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยงไหมระหว่าง 26-28 องศาเซลเซียสความชื้นสัมพัทธ์ระหว่างร้อยละ 70-85


พันธุ์ที่นิยมในปัจจุบันได้แก่
1.พันธุ์ไหมไทยลูกผสม ได้แก่พันธุ์กสก.2 กสก.6 และดอกบัว

2.พันธุ์ไหมลูกผสมต่างประเทศได้แก่ พันธุ์กสก.1 และกสก.5 นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชน เช่น พันธุ์จุลไหมไทย พันธุ์จิมทอมสัน


การดูแลรักษา
1. ให้ใบหม่อนที่เหมาะสมกับวัยของหนอนไหม
2. ขยายพื้นที่เลี้ยงไหม
3. โรยสารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดเชื้อ
4. โรยปูนขาวหรือแกลบเผาเพื่อลดความชื้น
5. คัดเลือกรังไหมเพื่อแยกรังดีรังเสียก่อนการจำหน่าย

ระยะเวลาการเลี้ยงไหม

จากไหมแรกฟักจนเป็นรังไหม 24-29 วัน
ระยะเป็นตัวหนอนประมาณ 19-22 วัน
ระยะไหมพ่นเส้นใยทำรังเสร็จประมาณ 2 วัน
ระยะไหมพ่นเส้นใยจนกระทั่งเก็บผลผลิตรังไหมประมาณ 5-7 วัน

จำนวนไข่ไหม/โรงเลี้ยงไหม
-ไข่ไหม 2 กล่อง/โรงเลี้ยงไหมขนาด 6x8 เมตร
-ไข่ไหม 6 กล่อง/โรงเลี้ยงไหมขนาด 8x16 เมตร

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทองคำเปลว

ทองคำเปลวมี 2 แบบ แบบแรกเป็นทองคำเปลวที่ตีจากทองคำแท้ๆ กับทองคำเปลวที่เป็น film พลาสติกทองจริงใช้ในงานช่างฝีมือ พวกลงรักปิดทองทองเทียมใช้กับพวก เราๆท่านๆ ไว้ปิดทองพระค่ะ การใช้ทองคำเปลวในงานวิจิตรศิลป์ มีหลักฐานว่า มีใช้มาแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย และแพร่หลายมากขึ้นในสมัยอยุธยา และรัตนโกสินทร์ และในอดีต ศิลปะลายรดน้ำนี้ ใช้เฉพาะในชนระดับสูง เช่น พระมหากษัตริย์ และในงานทางพุทธศาสนา
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น จึงมีการใช้ลายรดน้ำได้ทั่วไป และมีช่างทองหลวงกลุ่มหนึ่ง นำความรู้เรื่องการตีทอง ทำทองคำเปลวจากในวัง มาทำเป็นอาชีพ แหล่งผลิตทองคำเปลวแท้ ในกรุงเทพมหานครในอดีต มีย่านตีทองคำเปลวสำคัญ เรียกว่า บ้านช่างทอง

ในปัจจุบัน คือ ย่านถนนตีทอง จนถึง สี่แยกคอกวัว เป็นแหล่งที่อยู่ของช่างทองหลวงในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ในปัจจุบัน การทำทองคำเปลว กระจายตัวไปตามที่ต่างๆด้วย เพราะความต้องการใช้ ทองคำเปลวมีมากขึ้น ส่วนที่ถนนตีทอง ยังมีช่างตีทองคำเปลวเหลืออยู่เพียง ๒ ครอบครัว คือ ครอบครัวของนายสาธิต สุขุมาภัย กับครอบครัวของ นางจิตรา ศิริโพธิสมพร ทั้ง ๒ ครอบครัวนี้ เป็นพี่น้องกัน เข้าใจว่าคงสืบทอดศิลปะการตีทองมาจากบรรพบุรุษช่างทองของย่านนี้ ทองคำเปลวแท้กรรมวิธีการการผลิตทองคำเปลวกว่าจะได้มาเป็นทองคำเปลวที่เราๆท่านใช้ในการทำบุญปิดทองพระ ไม่ได้ผลิตออกมาได้ง่าย ต้องใช้ทองคำ 99 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะสามารถตีแผ่ขยายออกไปได้

มีขั้นตอนการผลิตคร่าวๆดังนี้
1.1 นำทองคำบริสุทธิ์ 99.99 % มาทำการรีด

1.2 นำแผ่นทองคำที่รีดแล้วมาทำการตัดเป็นแผ่นเล็กขนาด ประมาณ 0.6 x 1.0 ซม.

1.3 นำแผ่นทองที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆใส่กระดาษแก้ว มาวางซ้อนกัน โดยมีวิธีการซ้อนคือแผ่นทองหนึ่งแผ่นประกอบด้วยดาม 2 แผ่นหัวท้าย ซึ่งเรียกกว่า “กุบ”ทำการใส่กุบ นำแผ่นทองที่ซ้อนด้วยดามหลายๆแผ่น มาสวมปลอกด้วยกุบ (กุบทำจากแผ่นหนังวัว) เพื่อที่จะเตรียมนำไปตีต่อไป

1.4 การตีกุบ นำแผ่นทองที่สวมกุบนำไปตี วิธีการตีทองจะต้องตีด้วยค้อนทองเหลองเพราะทองเหลืองมีคุณสมบัติของความแข็งที่น้อยกว่าค้อนเหล็ก ถ้าใช้ค้อนเหล็กจะทำให้แผ่นทองที่นำมาตีเกิดการฉีกขาดได้

1.5 เมื่อได้ กุบออกมาแล้ว 2 อัน (สรรพนามเรียก “กุบ” ว่า “ขอน“ ) พอได้มา 2 ขอน นำกุบที่ได้มาย้าย แผ่นทอง มาใส่กระดาษแก้วแผ่นใหญ่ แล้วนำไปตี ต่อไป

1.6 การตัดทอง เมื่อตีทองออกมาแล้วมาทำการตัดทองตามขนาดที่จัดส่งโดยแบ่งคร่าวๆดังนี้ทองเต็ม เป็นทองคำเปลวที่มีขนาดต่างๆดังนี้

1.6.1 ทองเต็ม เป็นทองคำเปลวที่มีขนาดต่างๆดังนี้
- ขนาด 4 x 4 ซม.
- ขนาด 3.4 x 3.5 ซม.
1.6.2 ทองจิ้ม เป็นทองที่มีขนาดเล็กใส่ในแผ่นกระดาษที่ตัดไม่เต็มแผ่น
- ขนาด 2.5 x 2.5 ซม.
- ขนาด 5 X 1.5 ซม.

1.7 ชนิดของแผ่นทองเปลว แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
- ทองคัด หมายถึงแผ่นทองเปลวที่ตัดออกมาตามขนาดที่กำหนดโดยไม่มีรอยต่อของแผ่นทองซึ่งมีราคาแพง
- ทองต่อ หมายถึงแผ่นทองเปลวที่มีการตัดต่อแผ่นทองโดยอาจมีการนำแผ่นทองเปลวมาต่อกันมากกว่า1แผ่นซึ่งมีราคาถูกกว่าทองคัด

1.8 ชนิดของทองที่นำมาใช้ทำแผ่นทองคำเปลว วัสดุที่ใช้ทำทองทองคำเปลวเมื่อนำมาทำเป็นทองคำเปลวแล้วมีการคัดเกรดได้อีก2 ชนิดคือ
- ทองแดง หมายถึง ทองซัว เป็นศัพท์เฉพาะของช่างตีทอง หมายถึง ทองเปลวที่ทำมาจากแผ่นทองคำที่บริสุทธิ์มากกว่า ทองเขียว เมื่อตีออกมาแล้วจะได้แผ่นทองที่มีสีทองเหลืองอร่ามออกแดง (ทองแดงมีความบริสุทธิ์ 99.99 %)
- ทองเขียว ทองเขียวเป็นศัพท์เฉพาะของช่างตีทองหมายถึงทองเปลวที่ทำมาจากแผ่นทองคำที่บริสุทธิ์น้อยกว่าทองแดง เมื่อตีออกมาแล้วจะได้แผ่นทองที่มีสีทองเหลืองอร่ามออกเขียว (ทองเขียวมีความบริสุทธิ์ 97.00 %)เพราะฉะนั้น ทองคำเปลวที่เป็นทองแดงจึงมีราคาแพงกว่า ทองคำเปลวที่เป็นทองเขียว

บ้านดิน



บ้านดิน คือบ้านธรรมชาติ บ้านที่สามารถหาวัสดุจากรอบข้างนำมาสร้างเป็นบ้าน บ้านหนึ่งหลังอาจใข้ดินที่อยู่ข้างบ้านกับกับแรงกาย ค่อย ๆ ลงแรงสร้างจนกลายเป็นบ้านคุณภาพ โดยใช้ทุนเพียงเล็กน้อยบ้านดิน ต้องใช้แรงงานในการสร้างมาก ถึงแม้จะใช้ต้นทุนในการสร้างต่ำ

บ้านดินจึงเหมาะสำหรับการลงแรงช่วยกันสร้าง อาจใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุด มาช่วยกันสร้าง สร้างบ้านดิน 1 หลัง มีคุณค่ามากกว่าบ้าน 1 หลัง บ้านอาจจะหมายถึง มิตรภาพ, สุขภาพ, ความภูมิใจ ปลดปล่อยการเป็นทาสจากของเงินตราที่เราต้องถูกหลอกชั่วชีวิตให้ทำงานอย่าง หามรุ่งหามค่ำ บ้านดินใช้ทุนน้อย แต่คุณค่ามากมายจนไม่สามารถประเมินค่าได้

บ้านดิน คือนิยามของความสุข หนึ่งชีวิตหากต้องการมีบ้านสักหลังหนึ่งอาจต้องใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่อหาเงิน หรือใช้หนี้ ซึ่งแตกต่างจากการสร้างบ้านธรรมชาติหรือบ้านดินโดยสิ้นเชิง แค่แรงกายกับเงินอีกเพียงเล็กน้อย ในระยะเวลาไม่กี่เดือน เราสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้แล้ว
บ้านดินที่พบเห็นมีวิธีการสร้างหลายเทคนิค ได้แก่

แบบปั้น (Cob) เป็นเทคนิคปั้นบ้านขึ้นเป็นหลังโดยใช้ดินเหนียวผสมกับฟางข้าว ปั้นขึ้นเรื่อย ๆ บ้านที่สร้างด้วยเทคนิคนี้ สามารถก่อฝาผนังได้สูงประมาณครั้งละ 1 ฟุต ต้องรอให้ดินแห้งสนิท ถึงจะปั้นก่อชั้นต่อไปได้ บ้านดินที่สร้างด้วยเทคนิคนี้จะมีความแข็งแรงมาก กว่าเทคนิคอื่น ๆ

แบบอิฐดิบ (Adobe Brick) เทคนิคนี้ จะใช้วิธีนำดินมาผสมกับเส้นใย เช่น แกลบ เศษหญ้า หรืออาจะใช้ฟางข้าว นำมาผสมกับโคลน และปั้นเป็นอิฐดิน และนำมาก่อเป็นฝาผนังบ้าน โดยใช้โคลนเป็นตัวประสาน วิธีการสร้างบ้านด้วยเทคนิคนี้ง่าย สามารถก่อสร้างได้รวดเร็ว มีความแข็งแรง เทคนิคนี้เป็นที่นิยมในเมืองไทย แต่อาจต้องใช้แรงงานมาก

แบบโครงไม้(wattle&daub) เริ่มต้นทำโครงสร้างเป็นไม้สานกันเป็นตาราง และนำฟางชุบด้วยโคลนโป๊ะเป็นฝาผนัง การสร้างบ้านด้วยเทคนิคนี้ สามารถสร้างได้ง่าย ใช้แรงน้อย ถ้าทำฝาผนังให้หนา มีความแข็งแรง ไม่แพ้การก่อด้วยอิฐดิบ ข้อจำกัดในเรื่องของการฉาบ อาจจะต้องฉาบหลายครั้ง ถ้าต้องการให้ฝาผนังเรียบ แห้งช้าหากอยู่ในร่ม

แบบใช้ดินอัด (rammed earth) เป็นการก่อสร้างฝาผนังโดยทำแบบพิมพ์ แล้วนำดินเหนียวอัด เป็นฝาผนัง เทคนิคนี้ ไม่ค่อยพบในเมืองไทยแบบใช้ท่อนไม้หรือหิน (cord wood or stones) เป็นการก่อสร้างฝาผนัง โดยการนำเศษไม้หรือหิน มาก่อเป็นฝาผนังบ้าน โดยใช้ดินเป็นตัวประสาน และทำการฉาบด้วยดินอีกชั้นหนึ่ง

แบบกระสอบทราย (sand bag) เป็นการก่อสร้างบ้านโดยใช้กระสอบใส่ทรายให้เต็มและนำมาวางเรียง อาจจะใช้ลวดหนาม เป็นตัวช่วยยึดให้กระสอบไม่เลือนไหล และฉาบด้วยดินอีกครั้ง เทคนิคนี้ มีการใช้มากในพื้นที่ ที่เกิดสงครามหรือมีการอพยบ พื้นที่ไม่สามารถเข้าไปถึงได้โดยง่าย อาจมีการส่งกระสอบทรายโดยทางเครื่องบินและส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยแนะนำวิธี เพียง 1 - 2 คน ก็สามารถสร้างบ้านได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว หลังจากที่ทิ้งกระสอบทรายลงไป ใช้เป็นเพียง 2 - 3 วัน ก็จะมีบ้านเกิดขึ้นจำนวนมาก