Translate

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วัดศาลาทอง คินคาคุจิ

วัดศาลาทอง คินคาคุจิ
วัดคินคาคุจิ หรือวัดศาลาทอง วัดที่สวยที่สุด และมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองเกียวโต เป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่แทนที่ของเดิมที่ถูกลอบวางเพลิงในปี 1955 โดยพระภิกษุองค์หนึ่ง และได้ทำการบูรณะปิดทองครั้งล่าสุดในปี 1987 นี้เอง วัดนี้สร้างเลียนแบบของเดิมที่สร้างขึ้นศตวรรษที่ 15 สร้างตามสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่น ตัววัดเป็นอาคาร 3 ชั้นแบบลูกผสม ชั้นแรกสร้างตามแบบของพระราชวัง ชั้นที่สองสร้างตามแบบความเชื่อของซามูไร และชั้นที่สามสร้างตามแบบความเชื่อของวัดพุทธในนิกายเซน บริเวณรอบตัววัดจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ใสสะอาดตลอดปี สามารถมองเห็นเงาของวัดสะท้อนจากผิวน้ำเหมือนมีวัดอยู่ถึงสองหลัง และยังรายรอบไปภูมิทัศน์อันสวยงามของสวนญี่ปุ่นอันร่มรื่น วัดแห่งนี้ ยังเป็นวัดที่เด็กไทยในยุคประมาณ 20 กว่าปีที่แล้วรู้จักกันเป็นอย่างดีจากภาพยนตร์การ์ตูนชื่อดังเรื่อง อิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา






วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กิ้งกือมังกรสีชมพู


กิ้งกือมังกรสีชมพูไทย ติดอันดับสิ่งมีชีวิตใหม่ของโลก

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 คณะกรรมการคัดเลือกการค้นพบสิ่งมีชีวิตในโลกของสถาบันสำรวจสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตนานาชาติ (International Institute for Species Exploration; IISE) มหาวิทยาลัยอริโซนาประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศรายชื่อ 10 สุดยอดการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลกประจำปี 2007 ซึ่ง "กิ้งกือมังกรสีชมพู" ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับ 3 ของการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่ครั้งนี้ด้วย โดยเป็นผลงานการค้นพบของ ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญหา และคณะ จากหน่วยปฏิบัติการซิสเทมาติคส์ของสัตว์ (Animal Systematics Research Unit) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยสำรวจจากโครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (Biodiversity Research and Training Program; BRT) ของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)

กิ้งกือมังกรสีชมพู (Shocking Pink Millipede) ถูกพบในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว บริเวณรอยต่อระหว่างภาคกลางตอนบนและภาคเหนือตอนล่าง ในป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีความชื้นสูง โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Desmoxytes purpurosea ลักษณะลำตัวมีสีชมพูที่โดดเด่น รูปร่างสง่างามด้วยลวดลายและปุ่มหนามคล้ายมังกร สามารถขับสารพิษประเภทไซยาไนด์เพื่อป้องกันศัตรู

การค้นพบ "กิ้งกือมังกรสีชมพู" ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ซึ่งกิ้งกือเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่ช่วยทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ทำให้เกิดปุ๋ยอินทรีย์ตามธรรมชาติ และมีความสำคัญยิ่งในระบบนิเวศ

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ข้าวควบ


ข้าวควบ หรือ ข้าวเกรียบว่าว บ้างเรียก ข้าวปอง เป็นขนมพื้นบ้านที่มีมาช้านานมีกล่าวไว้ในวรรณกรรมล้านนา เรื่อง นางอุทรา ว่า นางร้าย คือแม่เลี้ยงนางอุทราแกล้งป่วย โดยใช้ข้าวควบวางไว้ใต้ที่นอน เมื่อขยับจะเสียงดัง ให้เข้าใจว่ากระดูกนางผิดปกติ (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, หน้า 809)




1.ข้าวสารเหนียว 1 ลิตร
2.น้ำตาลปี๊บ 500 กรัม
3. หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
4. ไข่ไก่ 1 ฟอง
5. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ







1. ตำข้าวเหนียวที่นึ่งสุกใหม่ โดยใช้ครกมอง ตำจนข้าวเหนียวละเอียดเป็นแป้งเหนียว ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
2. ใส่น้ำตาลปี๊บเคี่ยวผสมกะทิลงในครกมอง ตำต่อจนเป็นเนื้อเดียวกัน
3. ต้มไข่ไก่ให้สุก เลือกเฉพาะไข่แดง มาขยี้ผสมกับน้ำมันพืช เพื่อใช้ทามือและอุปกรณ์ในการทำข้าวควบ
4. นำแผ่นพลาสติกตัดเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว หยิบแป้งประมาณหัวนิ้วโป้ง กดให้แบน คลึงแป้งให้เป็นวงกลมด้วยกระบองไม้ คว่ำแผ่นแป้งลงบนแผ่นพลาสติกใหญ่
5. นำไปตากแดดให้แห้งประมาณ 1 ชั่วโมง
6. กลับด้านแป้ง และตากบนไม้ไผ่สาน อีก 1 ชั่วโมง
7. แกะแป้งออก พักไว้ให้เย็น นำมาเรียงซ้อนกันบรรจุในกระติก โดยใช้ใบตองรองด้านล่าง และปิดคลุมด้านบน เก็บไว้เป็นเวลา 1 คืน
8. นำแผ่นข้าวควบย่างกับเตาถ่าน

เคล็ดลับในการปรุงไข่ไก่ต้ม ใช้เฉพาะไข่แดง นำมาขยี้ให้เข้ากับน้ำมัน สำหรับทามือขณะที่หยิบแป้งข้าวควบ เพื่อไม่ให้ติดแป้งติดมือเคล็ดลับในการเลือกส่วนผสมน้ำตาลปี๊บให้เลือกแบบที่ไม่มีน้ำตาลทรายผสม (ของแท้) เพราะถ้ามีน้ำตาลทรายผสม จะทำให้ข้าวควบไม่พองตัวเมื่อย่างไฟ





วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ภูเขาไฟฟูจิ




Fujisan



...เรื่องราวของภูเขาไฟฟูจิน่าสนใจมาก ภูเขาฟูจิเป็นสุดยอดแห่งสัญลักษณ์ความงามของประเทศญี่ปุ่นมาเป็นเวลาช้านาน ในญี่ปุ่นภูเขานี้ "หาที่เปรียบมิได้" งดงามเสมอทุกฤดูกาลและทุกชั่วยาม งามแปลกตาไม่ว่าจะมองจากมุมใด ภูเขานี้สูงถึง 3,776 เมตร ภูเขาฟูจิผุดขึ้นในที่ราบซึ่งอยู่เกือบระดับเดียวกับน้ำทะเล วันใดอา


กาศแจ่มใสจะเห็นภูเขาได้จากที่ไกลออกไปถึง 80 กม. ยามหมอกจางลงหลังตะวันขึ้น ตัวภูเขาจะปรากฏให้เห็นท่ามกลางชนบท คาบสมุทร เกาะ และมหาสมุทรแปซิฟิก ภูเขาฟูจิมีสันเขาลาดจากยอดลงมาเป็นมุม 45 องศา แล้วแผ่ออกไปก่อนถึงพื้นดิน ตรงจุดนี้รอบภูเขาฟูจิจะเป็นวงกลมเกือบสมบูรณ์ มีเส้นรอบวงถึง 126 กม. ในส่วนโค้งบริเวณลาดเขาด้านเหนือมีทะเลสาบห้าแห่ง

ช่วงฤดูใบไม้ผลิเมื่อไม้ผลและต้นอะเซเลียเริ่มผลิดอก ทั่วทั้งบริเวณจะมีสีสันสดสวยมาก ฤดูใบไม้ร่วงก็งดงามเช่นกัน ป่ายุคกึ่งดึกดำบรรพ์รอบๆทะเลสาบทั้งห้า จะโชติช่วงด้วยสีแดงเพลิง แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนแก่หลายต่อหลายสี ภาพอันงดงามที่สุดของภูเขาฟูจิก็ดูได้จากบรรดาทะเลสาบที่ติดต่อถึงกันเหล่านี้ ท้องน้ำสงบนิ่งในทะเลสาบจะสะท้อนให้เห็นเงาส่วนอันสมมาตรของภูเขา ทะเลสาบเหล่านี้เกิดจากภูเขาไฟเช่นเดียวกับภูเขาฟูจิ

ที่ราบกว้างรอบ ๆ ภูเขาฟูจิเคยมีภูเขาไฟระเบิดอย่างหนักหน่วง ภูเขาไฟนี้ระเบิดเมื่อประมาณ 300,000ปีก่อน พ่นลาวาออกมาจากใจกลางโลก สารที่ทะลักออกมาจากกรวยภูเขาไฟมากมายช่วยปรับรูปทรงของภูเขาฟูจิจนเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ภูเขาฟูจิระเบิดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.800 และครั้งหลังสุด( ปัจจุบันภูเขาฟูจิยังไม่ดับ เพียงแต่สงบอยู่เท่านั้น ) เมื่อปีค.ศ. 1707 ความสำคัญพิเศษของภูเขาฟูจิในสำนึกของชาวญี่ปุ่นและจินตนาการเกี่ยวกับภูเขานี้คงจะเกิดจากการตระหนักว่า "ความงามนี้อาจไม่ยืนยง" ตามที่เชื่อกันมา ภูเขานี้อุบัติขึ้นในชั่วเวลาเพียงข้ามคืน ดังนั้นในวันใดวันหนึ่งก็อาจจะสิ้นสลายเป็นลูกไฟไปได้ในพริบตาได้เช่นกัน...

ภูเขาไฟฟูจิหรือฟูจิซังที่คนญี่ปุ่นเรียกกันนั้นถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ใครมาถึงญี่ปุ่นแล้วจะต้องหาโอกาสไปชมให้ได้ มาตอนนี้ขอเล่าถึงเรื่องราวการท่องเที่ยวเพื่อยลโฉมฟูจิซังก็แล้วกัน
ตามที่ได้บอกไว้ว่า รอบๆฟูจิซังจะมีทะเลสาบอยู่ห้าแห่ง ทะเลสาบที่ค่อนข้างมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันมากที่สุดก็คือทะเลสาบที่ชื่อว่าฮาโกเนะ ซึ่งบริเวณนั้นจะมีจุดท่องเที่ยวหลายๆแห่งให้เราแวะเข้าไปเที่ยวชม และมีกิจกรรมต่างๆมากมายให้ทำนอกเหนือไปจากการมองเห็นฟูจิซังแบบใกล้ๆเต็มๆตา อย่างเช่นการนั่งเรือข้ามทะเลสาบ นั่งโรปเวย์ข้ามภูเขา นั่งรถราง มีพิพิธภัณฑ์ มีเหมืองแร่ และน้ำพุร้อนที่สามารถต้มไข่ให้สุกได้ การเดินทางจากโตเกียวไปยังฮาโกเนะก็ไม่ยากเลยค่ะ มีทั้งรถไฟ รถบัส แต่ทางที่สะดวกก็คงจะเป็นรถไฟซึ่งมีตลอดเวลา และตรงเวลาเป็นที่สุด เรามักจะใช้เวลาเดินทางกันจากในเมืองก็ประมาณ 2-3 ชม.โดยรถไฟ เนื่องจากค่อนข้างไกลจากตัวเมือง ค่ารถไฟก็ค่อนข้างแพงกระฉูดทีเดียว แต่เค้าจะมีตั๋วแบบเป็นชุด กำหนดให้เราใช้ได้ในเวลาที่กำหนด และสามารถใช้ขึ้นรถไฟ รถราง โรปเวย์ รถบัส และลงเรือที่นั่นได้ ก็เป็นการท่องเที่ยวตามสไตล์ญี่ปุ่นทุกอย่างเป็นไปตามเส้นทางตามแผนที่กำหนด
ฤดูที่น่าไปเที่ยวเพื่อจะได้เห็นฟูจิซังแบบสวยๆ ชัดๆ ก็มีหลายฤดู ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงน่าจะเป็นช่วงที่น่าไปที่สุด เพราะอากาศดี ไม่หนาวเกินไป และยังได้เห็นต้นไม้ ดอกไม้สวยๆ (ในฤดูใบไม้ผลิ) หรือภูเขาทั้งภูเขาที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองสีแดง (ในฤดูใบไม้ร่วง) ถ้าไปฤดูร้อน อากาศจะร้อนมาก แถมฟูจิซังยังไม่ค่อยสวยซะด้วย เพราะว่าหิมะที่ปกคลุมนั้นละลายไปหมดแล้ว จะเห็นฟูจิซังเป็นสีน้ำตาลทั้งลูกไม่ว่าจะไปฤดูไหนก็ตามสิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างก็คือต้องเลือกวันที่อากาศดีๆ แบบไม่มีเมฆเลยยิ่งดี เพราะถึงแม้จะเข้าไปใกล้แล้ว แต่ว่าถ้าท้องฟ้ามีเมฆ ก็อาจจะไม่เห็นภูเขาไฟก็ได้ เฮ่อ ขี้อายจริงๆเลยเชียว อีก
ทะเลสาบนึงที่คนไปเที่ยวกันเยอะเช่นกัน ก็คือทะเลสาบคาวะคุจิ บริเวณนี้ก็มีที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมายเช่นกัน อย่างเช่นบ่อน้ำร้อน หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าอองเซ็น มีสวนสนุกชื่อฟูจิคิวไฮแลนด์อยู่ใกล้ๆ และบริเวณเดียวกันนี้เอง ที่มีทางรถยนต์ให้เราสามารถขึ้นไปเหยียบบนฟูจิซังได้ ภูเขาทั้งลูกจะถูกแบ่งเป็นระดับชั้นตามความสูง แต่รถยนต์ไม่สามารถขึ้นไปได้ถึงบนยอด จากระดับชั้นที่ห้าขึ้นไปถ้าใครอยากไปต่อ ก็ต้องเดินกันผู้เขียนเคยมีโอกาสนั่งรถยนต์ขึ้นไป ตอนประมาณต้นเดือนพฤษภาคม ตอนนั้นในตัวเมืองอากาศเริ่มจะร้อนแล้ว แต่ตอนขับรถขึ้นไปบนฟูจิซังอากาศเย็นพอสมควร ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวนั่น ทางรถยนต์ก็ค่อนข้างอันตรายทีเดียว มีหมอกหนามาก ต้องขับช้าๆเพราะเราสามารถมองเห็นได้ในระยะใกล้เพียงไม่กี่เมตร ไปจนถึงจุดสูงสุดที่รถยนต์ไปได้ก็เจอหิมะเพียบเลยตอนนั้นบนฟูจิซังหิมะไม่ตกแล้ว แต่อากาศยังเย็นมากหิมะจึงไม่ละลาย นับว่าเป็นประสบการณ์นึงที่น่าตื่นเต้นมากทีเดียว
สำหรับถ้าใครอยากจะเดินต่อขึ้นไปจนถึงยอดฟูจิซัง โดยไม่กลัวว่ามันจะระเบิดล่ะก็ เป็นไปได้ แต่เฉพาะในช่วงที่เค้ากำหนดเท่านั้น ก็คือประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน ที่เค้าอนุญาติให้ขึ้นได้เนื่องจากตอนนั้นเป็นหน้าร้อน อากาศข้างล่างร้อนมาก แต่จากคำบอกเล่าของเพื่อนๆที่ไปพิชิตยอดฟูจิซังมาแล้ว ข้างบนยอดตอนเช้าๆนี่ อากาศหนาวแบบติดลบเลย ต้องแบกเอาเสื้อกันหนาวขึ้นไปด้วย วิธีการขึ้นก็คือ จะต้องเดินขึ้นไปตอนกลางคืนด้วยไฟฉายคนละอัน เพื่อให้ไปถึงยอดในตอนเช้าตรู่ ดูพระอาทิตย์ขึ้น เสร็จแล้วก็เดินกลับลงมา เรียกได้ว่าต้องเดินตลอดตั้งแต่ตอนกลางคืน ยันตอนสายเกือบเที่ยงของอีกวันนึงนั่นล่ะ

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ที่สุดในชีวิต


ที่สุดในชีวิต [The 14 most in one 's life]

เวลาใน 1 ปี ช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน แต่ก็เถอะ.... มาถึงวันนี้แล้ว สิ่งที่ดูเหมือนจะจำเป็นสำหรับทุกๆคนก็คือ การสำรวจตัวเอง เพื่อหาข้อดีข้อเสียที่ผ่านมา และที่สำคัญคือ ต้องไม่ลืมมองหา "กำลังใจ" เพื่อจะได้มีแรงต่อสู้กับช่วงเวลาดีๆของปีใหม่ที่มาถึง

1. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ ตัวเราเอง
2. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอวดดี
3. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกลวง
4.. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอิจฉาริษยา
5. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ การยอมแพ้ตนเอง
6. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกตัวเอง
7. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา คือ การถดถอยของตัวเอง
8. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอุตสาหะวิริยะ
9. ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา คือ ความสิ้นหวัง
10. ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
11. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ หนี้บุญคุณ
12. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา การให้อภัยและความเมตตา
13. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล
14. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ การให้ทาน