Translate

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

น้ำผึ้ง



น้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar) โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ บ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า “น้ำผึ้งสุก” เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20-21 เปอร์เซ็นต์
น้ำผึ้งในตำรับยาไทย
เมื่อรู้ว่าน้ำผึ้งเป็นเภสัชทานแล้ว ฉันก็ยังอยากรู้ต่อไปว่า น้ำผึ้งยาไทยได้อย่างไรบ้าง หมอบุญยืน ผ่องแผ้ว แพทย์แผนไทยประจำคลินิกหนองบง จังหวัดลพบุรี ก็กรุณาเล่าให้ฟังดังนี้
น้ำผึ้งช่วยแต่งรสยา - น้ำผึ้งมีรสหวานฝาด ร้อนเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว ทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนคนไข้กินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น และช่วยชูกำลัง ซึ่งน้ำผึ้งเข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด
น้ำผึ้งหนึ่งในน้ำกระสายยา - น้ำกระสายยาคือส่วนผสมหนึ่งของตำรับยาไทย ที่ช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ได้จากพืช อาทิ น้ำมะนาว ได้จากธาตุ เช่น เปลือกหอยนำมาฝนกับน้ำ ได้จากสัตว์ เช่น งาช้าง รวมถึงน้ำผึ้งที่ถือเป็นน้ำกระสายยาตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และกระจายเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น หรือบางครั้งนำน้ำผึ้งมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอน แต่ผู้ปรุงยาควรนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิฉะนั้น ยาลูกกลอนจะขึ้นราภายหลัง

น้ำผึ้งในตำรายาจีน
ภาษาจีน แต้จิ๋ว เรียกน้ำผึ้งว่า "พังบิ๊ก" เป็นยาบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะบำรุงลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำผึ้งมีรสชาติหวาน ชุ่มคอ สามารถใช้ได้ทั้งเดี่ยว และนำไปเป็นส่วนผสมของยา กรณีที่ใช้เดี่ยวโดยมากใช้ในกรณีลำไส้ไม่ดี
ถ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว กินน้ำผึ้งประจำจะไปช่วยเคลือบลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย แต่สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะแข็งตัว ถ้าปล่อยให้ท้องผูกนานๆ กากอาหารจะขูดผนังลำไส้ อาจทำให้เป็นแผล และมีปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งถ้าเรากินน้ำผึ้งเพื่อช่วยเคลือบลำไส้จะช่วยลดปัญหาลงได้

สารสำคัญในน้ำผึ้งน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโครส ฟลุคโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, ฟอสฟอรัส)ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ
เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วาซาบิ

ในการรับประทานอาหารญี่ปุ่นครั้งหน้า เมื่อถ้าคุณจะแต้มเครื่องปรุงรสสีเขียว ๆ ลงไปในปลาดิบที่คุณชอบ คุณน่าจะลองนึกถึงประโยชน์ต่อร่างกายที่คุณกำลังจะได้รับเข้าไปด้วย เพราะจากการศึกษาล่าสุดพบว่า วาซาบิ เครื่องปรุงรสเผ็ดสีเขียวของชาวญี่ปุ่นนั้น มีคุณประโยชน์ทางยาอย่างหลากหลาย
โตชิโอะ ลิยาม่า หัวหน้าทีมวิจัยวาซาบิ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงโตเกียว ระบุว่า วาซาบิ มีผลในการฆ่าเชื้อโรค มันสามารถต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด และยังสามารถกำจัดพยาธิ Anisakis พยาธิ ที่อาศัยอยู่ในปลาได้ เมื่อมันผ่านเข้ามาในระบบการย่อยอาหารของมนุษย์ และเมื่อไม่นานมานี้ ยังมีการศึกษาพบอีกว่า วาซาบิ ยังมีฤทธิ์ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ซึ่งเป็นผลดีต่อผิวหนัง และยังช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ด้วย
วาซาบิ เป็นเครื่องปรุงที่ทำมาจากต้น Canola โดยจะนำส่วนโคนลำต้นที่มีความหนาออกมาใช้ และหลาย ๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนรากของมัน เมื่อนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร จะมาในรูปของเครื่องปรุงรสที่มีกลิ่นฉุน รับประทานเข้าไปทำให้แสบจมูกในระยะสั้น ๆ ก่อนที่รสชาดจะเปลี่ยนไปเป็นความกลมกล่อม ทั้งขมทั้งหวานผสมผสานกันไป
วาซาบิเป็นเครื่องปรุงรสที่ชาวญี่ปุ่นใช้กันมากนานกว่าพันปีแล้ว แต่เมื่อไม่นานนี้เอง มันกลายมาเป็นเครื่องปรุงยอดนิยมประจำโต๊ะอาหาร และกลายเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการทำครัวของชาวญี่ปุ่นที่รับประทานกับปลาดิบ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และยังมีการค้นพบอีกด้วยว่า ผู้ที่รับประทานปลาดิบพร้อมกับวาซาบินี้ ไม่ค่อยจะป่วยเป็นโรคอะไร


การปลูกวาซาบินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องลงทุนค่อนข้างสูง พืชชนิดนี้ มักจะปลูกในที่โล่ง แต่จะต้องมีการจำกัดปริมาณแสงแดด ไม่ให้ส่งลงมาถูกต้นพืชโดยตรง ในช่วงฤดูร้อน เมื่อไม่นานมานี้ เกษตรกรชาวญี่ปุ่น ถูกแย่งตลาดด้วยการสั่งนำเข้าต้นพืชที่มีกรรมวิธีการปลูกสมัยใหม่ และราคาถูกกว่า จากไต้หวันและฟิลิปปินส์แม้ว่าผลิตผลของพวกเขาจะมีรสเผ็ดเกินกว่าที่จะนำมารับประทานเดี่ยว ๆ แต่ก็ได้รับการสั่งนำเขาจำนวนมาก จากบริษัทใหญ่ ๆ ในญี่ปุ่น เพื่อที่จะนำมาผสมผสานกับเครื่องปรุงอื่น ๆ เช่น หัวไชเท้าและเครื่องเทศ ที่เรียกกันว่า เนริ-วาซาบิ และตลาดของเครื่องปรุง เนริ-วาซาบินี้ มีมูลค่าถึง 16 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี ในขณะที่วาซาบิแบบดังเดิม มีมูลค่าในตลาด 36 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี

ลีลาวดี



ลั่นทม เป็นไม้ดอกยืนต้นในสกุล Plumeria มีหลายชนิดด้วยกัน บางคนมีความเชื่อว่า ไม่ควรปลูกต้นลั่นทมในบ้าน เนื่องจากมีชื่อเป็นอัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า 'ระทม' ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ แต่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อใหม่ ว่า ลีลาวดี และนิยมปลูกกันแพร่หลายอย่างมาก ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ ได้แก่ จำปา, จำปาลาว และจำปาขอม เป็นต้น (สำหรับชื่อภาษาอังกกฤษ ได้แก่ Frangipani, Plumeria, Templetree)
ลั่นทม เป็นไม้ที่นำมาจากเขมร ทางภาคใต้ เรียกชื่อว่า "ต้นขอม" "ดอกอม" ส่วนใหญ่ที่ปลูกกันเป็น "ลั่นทมขาว" เล่ากันว่า ไม้นี้นำเข้ามาปลูกในไทย เมื่อคราวไปตีนครธม ได้ชัยชนะ นำต้นไม้นี้เข้ามาปลูก และเรียกชื่อเป็นที่ระลึกว่า "ลั่นธม" "ลั่น" แปลว่ ตี เช่น ลั่นฆ้อง ลั่นกลอง "ธม" หมายถึง "นครธม" ภายหลัง "ลั่นธม" เพี้ยนเป็น "ลั่นทม"

ลั่นทมเป็นพืชนิยมปลูกเพราะดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงาม ได้แก่ขาว เหลืองอ่อน แดง ชมพู ฯลฯ บางดอกมีมากกว่า 1 สี
ดอกลั่นทมยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว และพบได้มากบริเวณทางขึ้นพระธาตุที่เมืองหลวงพระบาง สำหรับในประเทศไทยนั้นมักพบต้นลั่นทมตามธรรมชาติทางภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่

ความเชื่อคนโบราณมีความเชื่อว่า ต้นลั่นทมนั้น ไม่ควรปลูกในบ้าน ด้วยมีชื่ออัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า ระทม ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ, จึงได้มีการเรียกชื่อเสียใหม่ให้เป็นมงคล ว่า ลีลาวดี ทั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดเปลี่ยนชื่อแต่อย่างใด
มีความเข้าใจผิดกันว่า ลีลาวดี นั้นเป็นชื่อพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพียงความเข้าใจผิด เพราะเป็นชื่อพระราชทานจาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ลีลาวดี ถ้าแปลตามความหมายตามอักษรแล้ว ก็คือต้นดอกไม้ที่มีท่วงท่าสวยงามอ่อนช้อย ไม้นี้เดิมเรียก ลั่นทม เป็นไม้ยืนต้นในเขตร้อน ที่เห็นทั่วๆไปมีดอกสีขาว แดง ชมพู ชื่อเดิมของพันธุ์ไม้นี้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำนี้ มาจากคำว่า ระทม ซึ่งหมายถึงความเศร้าโศก จึงไม่เป็นที่นิยมปลูกในบริเวณบ้านหรือที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตามมีผู้มีความรู้ด้านภาษาไทยกล่าวถึงคำว่า ลั่นทม ว่า ลั่นทมที่เรียกกันแต่โบราณ หมายถึง การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข ดังนั้นคำว่า ลั่นทม แท้จริงแล้วเป็นคำผสมจาก ลั่น+ทม โดยคำแรกหมายถึง แตกหัก ละทิ้ง และคำหลังหมายถึงความทุกข์โศก [ต้องการแหล่งอ้างอิง]
มีตำนานเล่าขานถึงที่มาของลั่นทมในลักษณะต่าง ๆ กัน อย่างไรก็ตามพันธุ์ไม้นี้ตามหลักสากลมีชื่อว่า ฟรังกีปานี (frangipani) และเรียกกันทั่วไปว่า พลูมมีเรีย (plumeria)

ไหม

ไหมเป็นแมลงประเภทผีเสื้อกลางคืน ที่กิน ใบหม่อนเป็นอาหาร โดยมี ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bombyx mori Linn. ชื่อ สามัญ คือ silkworm วงศ์ Bombicidae การเจริญเติบโตของไหม จะมี การเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างสมบูรณ์ ใน 4 ขั้นตอน คือ ระยะไข่ ระยะตัวหนอน ระยะดักแด้ และระยะผีเสื้อ ตัวหนอนในช่วงสุดท้าย จะพ่นใยไหม เพื่อทำรังห่อหุ้มตัวแล้วลอกคราบกลายเป็นดักแด้ ใยไหมจัดเป็นเส้นใยตามธรรมชาติที่มีความเหนียวมากที่สุด
ลักษณะทั่วไปของไหม
ไหมเป็นแมลงที่มีการเจริญเติบโตแบบวงจรชีวิตสมบูรณ์ (Complete Metamorphosis)คือมีระยะไข่หนอนดักแด้และผีเสื้อซึ่งในแต่ละระยะการเจริญเติบโตนั้นมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไปไหมสามารถเลี้ยงได้ในทุกภาคของประเทศไทยอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยงไหมระหว่าง 26-28 องศาเซลเซียสความชื้นสัมพัทธ์ระหว่างร้อยละ 70-85


พันธุ์ที่นิยมในปัจจุบันได้แก่
1.พันธุ์ไหมไทยลูกผสม ได้แก่พันธุ์กสก.2 กสก.6 และดอกบัว

2.พันธุ์ไหมลูกผสมต่างประเทศได้แก่ พันธุ์กสก.1 และกสก.5 นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชน เช่น พันธุ์จุลไหมไทย พันธุ์จิมทอมสัน


การดูแลรักษา
1. ให้ใบหม่อนที่เหมาะสมกับวัยของหนอนไหม
2. ขยายพื้นที่เลี้ยงไหม
3. โรยสารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดเชื้อ
4. โรยปูนขาวหรือแกลบเผาเพื่อลดความชื้น
5. คัดเลือกรังไหมเพื่อแยกรังดีรังเสียก่อนการจำหน่าย

ระยะเวลาการเลี้ยงไหม

จากไหมแรกฟักจนเป็นรังไหม 24-29 วัน
ระยะเป็นตัวหนอนประมาณ 19-22 วัน
ระยะไหมพ่นเส้นใยทำรังเสร็จประมาณ 2 วัน
ระยะไหมพ่นเส้นใยจนกระทั่งเก็บผลผลิตรังไหมประมาณ 5-7 วัน

จำนวนไข่ไหม/โรงเลี้ยงไหม
-ไข่ไหม 2 กล่อง/โรงเลี้ยงไหมขนาด 6x8 เมตร
-ไข่ไหม 6 กล่อง/โรงเลี้ยงไหมขนาด 8x16 เมตร

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทองคำเปลว

ทองคำเปลวมี 2 แบบ แบบแรกเป็นทองคำเปลวที่ตีจากทองคำแท้ๆ กับทองคำเปลวที่เป็น film พลาสติกทองจริงใช้ในงานช่างฝีมือ พวกลงรักปิดทองทองเทียมใช้กับพวก เราๆท่านๆ ไว้ปิดทองพระค่ะ การใช้ทองคำเปลวในงานวิจิตรศิลป์ มีหลักฐานว่า มีใช้มาแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย และแพร่หลายมากขึ้นในสมัยอยุธยา และรัตนโกสินทร์ และในอดีต ศิลปะลายรดน้ำนี้ ใช้เฉพาะในชนระดับสูง เช่น พระมหากษัตริย์ และในงานทางพุทธศาสนา
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น จึงมีการใช้ลายรดน้ำได้ทั่วไป และมีช่างทองหลวงกลุ่มหนึ่ง นำความรู้เรื่องการตีทอง ทำทองคำเปลวจากในวัง มาทำเป็นอาชีพ แหล่งผลิตทองคำเปลวแท้ ในกรุงเทพมหานครในอดีต มีย่านตีทองคำเปลวสำคัญ เรียกว่า บ้านช่างทอง

ในปัจจุบัน คือ ย่านถนนตีทอง จนถึง สี่แยกคอกวัว เป็นแหล่งที่อยู่ของช่างทองหลวงในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ในปัจจุบัน การทำทองคำเปลว กระจายตัวไปตามที่ต่างๆด้วย เพราะความต้องการใช้ ทองคำเปลวมีมากขึ้น ส่วนที่ถนนตีทอง ยังมีช่างตีทองคำเปลวเหลืออยู่เพียง ๒ ครอบครัว คือ ครอบครัวของนายสาธิต สุขุมาภัย กับครอบครัวของ นางจิตรา ศิริโพธิสมพร ทั้ง ๒ ครอบครัวนี้ เป็นพี่น้องกัน เข้าใจว่าคงสืบทอดศิลปะการตีทองมาจากบรรพบุรุษช่างทองของย่านนี้ ทองคำเปลวแท้กรรมวิธีการการผลิตทองคำเปลวกว่าจะได้มาเป็นทองคำเปลวที่เราๆท่านใช้ในการทำบุญปิดทองพระ ไม่ได้ผลิตออกมาได้ง่าย ต้องใช้ทองคำ 99 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะสามารถตีแผ่ขยายออกไปได้

มีขั้นตอนการผลิตคร่าวๆดังนี้
1.1 นำทองคำบริสุทธิ์ 99.99 % มาทำการรีด

1.2 นำแผ่นทองคำที่รีดแล้วมาทำการตัดเป็นแผ่นเล็กขนาด ประมาณ 0.6 x 1.0 ซม.

1.3 นำแผ่นทองที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆใส่กระดาษแก้ว มาวางซ้อนกัน โดยมีวิธีการซ้อนคือแผ่นทองหนึ่งแผ่นประกอบด้วยดาม 2 แผ่นหัวท้าย ซึ่งเรียกกว่า “กุบ”ทำการใส่กุบ นำแผ่นทองที่ซ้อนด้วยดามหลายๆแผ่น มาสวมปลอกด้วยกุบ (กุบทำจากแผ่นหนังวัว) เพื่อที่จะเตรียมนำไปตีต่อไป

1.4 การตีกุบ นำแผ่นทองที่สวมกุบนำไปตี วิธีการตีทองจะต้องตีด้วยค้อนทองเหลองเพราะทองเหลืองมีคุณสมบัติของความแข็งที่น้อยกว่าค้อนเหล็ก ถ้าใช้ค้อนเหล็กจะทำให้แผ่นทองที่นำมาตีเกิดการฉีกขาดได้

1.5 เมื่อได้ กุบออกมาแล้ว 2 อัน (สรรพนามเรียก “กุบ” ว่า “ขอน“ ) พอได้มา 2 ขอน นำกุบที่ได้มาย้าย แผ่นทอง มาใส่กระดาษแก้วแผ่นใหญ่ แล้วนำไปตี ต่อไป

1.6 การตัดทอง เมื่อตีทองออกมาแล้วมาทำการตัดทองตามขนาดที่จัดส่งโดยแบ่งคร่าวๆดังนี้ทองเต็ม เป็นทองคำเปลวที่มีขนาดต่างๆดังนี้

1.6.1 ทองเต็ม เป็นทองคำเปลวที่มีขนาดต่างๆดังนี้
- ขนาด 4 x 4 ซม.
- ขนาด 3.4 x 3.5 ซม.
1.6.2 ทองจิ้ม เป็นทองที่มีขนาดเล็กใส่ในแผ่นกระดาษที่ตัดไม่เต็มแผ่น
- ขนาด 2.5 x 2.5 ซม.
- ขนาด 5 X 1.5 ซม.

1.7 ชนิดของแผ่นทองเปลว แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
- ทองคัด หมายถึงแผ่นทองเปลวที่ตัดออกมาตามขนาดที่กำหนดโดยไม่มีรอยต่อของแผ่นทองซึ่งมีราคาแพง
- ทองต่อ หมายถึงแผ่นทองเปลวที่มีการตัดต่อแผ่นทองโดยอาจมีการนำแผ่นทองเปลวมาต่อกันมากกว่า1แผ่นซึ่งมีราคาถูกกว่าทองคัด

1.8 ชนิดของทองที่นำมาใช้ทำแผ่นทองคำเปลว วัสดุที่ใช้ทำทองทองคำเปลวเมื่อนำมาทำเป็นทองคำเปลวแล้วมีการคัดเกรดได้อีก2 ชนิดคือ
- ทองแดง หมายถึง ทองซัว เป็นศัพท์เฉพาะของช่างตีทอง หมายถึง ทองเปลวที่ทำมาจากแผ่นทองคำที่บริสุทธิ์มากกว่า ทองเขียว เมื่อตีออกมาแล้วจะได้แผ่นทองที่มีสีทองเหลืองอร่ามออกแดง (ทองแดงมีความบริสุทธิ์ 99.99 %)
- ทองเขียว ทองเขียวเป็นศัพท์เฉพาะของช่างตีทองหมายถึงทองเปลวที่ทำมาจากแผ่นทองคำที่บริสุทธิ์น้อยกว่าทองแดง เมื่อตีออกมาแล้วจะได้แผ่นทองที่มีสีทองเหลืองอร่ามออกเขียว (ทองเขียวมีความบริสุทธิ์ 97.00 %)เพราะฉะนั้น ทองคำเปลวที่เป็นทองแดงจึงมีราคาแพงกว่า ทองคำเปลวที่เป็นทองเขียว

บ้านดิน



บ้านดิน คือบ้านธรรมชาติ บ้านที่สามารถหาวัสดุจากรอบข้างนำมาสร้างเป็นบ้าน บ้านหนึ่งหลังอาจใข้ดินที่อยู่ข้างบ้านกับกับแรงกาย ค่อย ๆ ลงแรงสร้างจนกลายเป็นบ้านคุณภาพ โดยใช้ทุนเพียงเล็กน้อยบ้านดิน ต้องใช้แรงงานในการสร้างมาก ถึงแม้จะใช้ต้นทุนในการสร้างต่ำ

บ้านดินจึงเหมาะสำหรับการลงแรงช่วยกันสร้าง อาจใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุด มาช่วยกันสร้าง สร้างบ้านดิน 1 หลัง มีคุณค่ามากกว่าบ้าน 1 หลัง บ้านอาจจะหมายถึง มิตรภาพ, สุขภาพ, ความภูมิใจ ปลดปล่อยการเป็นทาสจากของเงินตราที่เราต้องถูกหลอกชั่วชีวิตให้ทำงานอย่าง หามรุ่งหามค่ำ บ้านดินใช้ทุนน้อย แต่คุณค่ามากมายจนไม่สามารถประเมินค่าได้

บ้านดิน คือนิยามของความสุข หนึ่งชีวิตหากต้องการมีบ้านสักหลังหนึ่งอาจต้องใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่อหาเงิน หรือใช้หนี้ ซึ่งแตกต่างจากการสร้างบ้านธรรมชาติหรือบ้านดินโดยสิ้นเชิง แค่แรงกายกับเงินอีกเพียงเล็กน้อย ในระยะเวลาไม่กี่เดือน เราสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้แล้ว
บ้านดินที่พบเห็นมีวิธีการสร้างหลายเทคนิค ได้แก่

แบบปั้น (Cob) เป็นเทคนิคปั้นบ้านขึ้นเป็นหลังโดยใช้ดินเหนียวผสมกับฟางข้าว ปั้นขึ้นเรื่อย ๆ บ้านที่สร้างด้วยเทคนิคนี้ สามารถก่อฝาผนังได้สูงประมาณครั้งละ 1 ฟุต ต้องรอให้ดินแห้งสนิท ถึงจะปั้นก่อชั้นต่อไปได้ บ้านดินที่สร้างด้วยเทคนิคนี้จะมีความแข็งแรงมาก กว่าเทคนิคอื่น ๆ

แบบอิฐดิบ (Adobe Brick) เทคนิคนี้ จะใช้วิธีนำดินมาผสมกับเส้นใย เช่น แกลบ เศษหญ้า หรืออาจะใช้ฟางข้าว นำมาผสมกับโคลน และปั้นเป็นอิฐดิน และนำมาก่อเป็นฝาผนังบ้าน โดยใช้โคลนเป็นตัวประสาน วิธีการสร้างบ้านด้วยเทคนิคนี้ง่าย สามารถก่อสร้างได้รวดเร็ว มีความแข็งแรง เทคนิคนี้เป็นที่นิยมในเมืองไทย แต่อาจต้องใช้แรงงานมาก

แบบโครงไม้(wattle&daub) เริ่มต้นทำโครงสร้างเป็นไม้สานกันเป็นตาราง และนำฟางชุบด้วยโคลนโป๊ะเป็นฝาผนัง การสร้างบ้านด้วยเทคนิคนี้ สามารถสร้างได้ง่าย ใช้แรงน้อย ถ้าทำฝาผนังให้หนา มีความแข็งแรง ไม่แพ้การก่อด้วยอิฐดิบ ข้อจำกัดในเรื่องของการฉาบ อาจจะต้องฉาบหลายครั้ง ถ้าต้องการให้ฝาผนังเรียบ แห้งช้าหากอยู่ในร่ม

แบบใช้ดินอัด (rammed earth) เป็นการก่อสร้างฝาผนังโดยทำแบบพิมพ์ แล้วนำดินเหนียวอัด เป็นฝาผนัง เทคนิคนี้ ไม่ค่อยพบในเมืองไทยแบบใช้ท่อนไม้หรือหิน (cord wood or stones) เป็นการก่อสร้างฝาผนัง โดยการนำเศษไม้หรือหิน มาก่อเป็นฝาผนังบ้าน โดยใช้ดินเป็นตัวประสาน และทำการฉาบด้วยดินอีกชั้นหนึ่ง

แบบกระสอบทราย (sand bag) เป็นการก่อสร้างบ้านโดยใช้กระสอบใส่ทรายให้เต็มและนำมาวางเรียง อาจจะใช้ลวดหนาม เป็นตัวช่วยยึดให้กระสอบไม่เลือนไหล และฉาบด้วยดินอีกครั้ง เทคนิคนี้ มีการใช้มากในพื้นที่ ที่เกิดสงครามหรือมีการอพยบ พื้นที่ไม่สามารถเข้าไปถึงได้โดยง่าย อาจมีการส่งกระสอบทรายโดยทางเครื่องบินและส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยแนะนำวิธี เพียง 1 - 2 คน ก็สามารถสร้างบ้านได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว หลังจากที่ทิ้งกระสอบทรายลงไป ใช้เป็นเพียง 2 - 3 วัน ก็จะมีบ้านเกิดขึ้นจำนวนมาก

ทิวลิป

ทิวลิป เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของฮอลแลนด์ มีอยู่หลายสี ดอกทิวลิปจะปลูกได้ต้องใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม คือไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส

แม้ว่าทิวลิปจะเป็นดอกไม้ที่ทำให้นึกถึงฮอลแลนด์ แต่ทั้งดอกไม้และชื่อมีที่มาจากจักรวรรดิเปอร์เชีย ทิวลิปหรือ “lale” จากเปอร์เชีย เช่นเดียวกับที่เรียกกันในตุรกี เป็นดอกไม้ท้องถิ่นของตุรกี, อิหร่าน, อัฟกานิสถาน และบางส่วนของเอเชียกลาง แม้ว่าจะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้นำทิวลิปเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปแต่ที่สำคัญคือตุรกีเป็นผู้ทำให้ทิวลิปมีชื่อเสียงที่นั่น เรื่องที่เป็นที่ยอมรับกันก็คือ Oghier Ghislain de Busbecqไปเป็นราชทูตของสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในราชสำนักของสุลต่านสุลัยมานมหาราชแห่งจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1554 Busbecq บรรยายในจดหมายถึงดอกไม้ต่างๆ ที่เห็นที่รวมทั้งนาร์ซิสซัส ดอกไฮยาซินธ์ และทิวลิปที่ดูเหมือนจะบานในฤดูหนาวที่ดูเหมือนผิดฤดู (ดู Busbecq, qtd. in Blunt, 7) ในวรรณคดีเปอร์เชียทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ต่างก็ให้ความสนใจกับดอกไม้ชนิดนี้
คำว่า “tulip” ที่ในภาษาอังกฤษสมัยแรกเขียนเป็น “tulipa” หรือ “tulipant” เข้ามาในภาษาอังกฤษจากฝรั่งเศสที่แผลงมาจากคำว่า “tulipe” และจากคำโบราณว่า “tulipan” หรือจากภาษาลาตินสมัยใหม่ “tulīpa” ที่มาจากภาษาตุรกี “tülbend” หรือ “ผ้ามัสลิน” (ภาษาอังกฤษว่า “turban” (ผ้าโพกหัว) บันทึกเป็นครั้งแรกในภาษาอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และอาจจะมาจากภาษาตุรกีอีกคำหนึ่งว่า “tülbend” ก็เป็นได้)

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข้าวจี่

“ข้าวจี่” คือข้าวเหนียวปั้นขนาดเท่ากำมือ โรยเกลือนำมาปิ้งบนถ่านไฟ ชุบไข่ไก่ แล้วนำไปย่างอีกรอบรับรองว่าแซบอีหลี.. หนาวๆ แบบนี้ได้ข้าวจี่ร้อนๆ กลิ่นหอมๆ สีเหลืองน่ารับประทานสักก้อนก็น่าจะดีทีเดียว ข้าวจี่เป็นอาหารที่นิยมกินในฤดูหนาว เพราะคนสมัยก่อนจะนิยมนั่งผิงไฟคุยกัน แล้วก็ทำข้าวจี่กินแก้หนาวไปด้วย อีกอย่างช่วงนี้เป็นฤดูหลังเก็บเกี่ยวข้าว ข้าวใหม่จะมีกลิ่นหอมและนุ่ม จึงเหมาะที่จะนำมาทำข้าวจี่กินกันเป็นอย่างมาก

แต่บ้างก็ว่า เป็นเพราะชาวอีสานชอบเดินทางไกลหลังฤดูทำนา จึงต้องเตรียมอาหารเก็บไว้กินนานๆ ซึ่งนั่นก็คือข้าวจี่ และเมื่อทำมากพอสมควรก็จะนำไปถวายพระ จนกลายเป็นประเพณีทำบุญข้าวจี่
“เดือนสามค้อย เจ้าหัวคอยปั้นข้าวจี่ข้าวจี่บ่ใส่น้ำอ้อย จัวน้อยเช็ดน้ำตา”
(ปลายเดือนสาม พระสงฆ์จะคอยชาวบ้านทำบุญถวายข้าวจี่ถ้าข้าวจี่ไม่ทาน้ำอ้อย สามเณรน้อยจะร้องไห้ )

เป็นคำผญาที่บ่งบอกว่า ในสมัยโบราณข้าวจี่ถือเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำหรับคนอีสานมาก ดังจะเห็นได้จากพิธี “บุญเดือนสาม” ใน“ฮีตสิบสอง” ซึ่งเป็นประเพณีที่ชาวอีสานจะทำข้าวจี่ไปถวายพระที่วัด หรือที่เรียกว่า “บุญข้าวจี่” ซึ่งเป็นประเพณีงานบุญเดือนสามของชาวอีสานที่ทำร่วมกันในชุมชน การทำข้าวจี่ของคนสมัยก่อนนี้ชาวบ้านจะปั้นข้าวเหนียวนึ่งสุกให้มีขนาดเท่าไข่ห่านหรือเท่ากำมือ โรยเกลือ แล้วใช้ไม้ไผ่เสียบเป็นแถวประมาณ 5-8 ก้อนต่อไม้ จากนั้นนำไปปิ้งบนเตาถ่านพร้อมพลิกกลับไปกลับมาจนข้าวเหนียวสุกเหลืองเสมอกัน แล้วนำไข่ไก่ที่ตีแล้วมาทาให้ทั่วก้อนข้าวหลายๆ ครั้งเพื่อให้ไข่ติดข้าว แล้วนำไปปิ้งบนเตาถ่านจนไข่สุกเหลืองส่งกลิ่นหอม นำข้าวที่สุกแล้วมาถอดออกจากไม้เสียบ นำก้อนน้ำอ้อยมายัดใส่ในรูไม้เสียบ เป็นอันเสร็จ ซึ่งจะเห็นว่าแตกต่างจากข้าวจี่ในปัจจุบัน ซึ่งเรามักจะเห็นแต่ข้าวจี่ทาไข่, ข้าวจี่โรยเกลือ

ในการทำบุญข้าวจี่นี้ชาวบ้านจะทำเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำเพื่อใส่บาตรเท่านั้น แต่จะทำเพื่อแจกจ่ายผู้คนหรือแลกเปลี่ยนกัน เมื่อได้ข้าวจี่แล้ว ชาวบ้านจะนำมารวมกันที่วัดพร้อมกับนิมนต์พระภิกษุสามเณรมารับบิณฑบาต ชาวบ้านจะนำข้าวจี่มาใส่บาตรพร้อมกัน เมื่อถวายภัตตาหารและข้าวจี่เรียบร้อยแล้ว พระภิกษุจะเทศน์ อานิสงส์บุญข้าวจี่ 1 กัณฑ์เพื่อเป็นการอธิบายให้เห็นว่า การทำบุญด้วยข้าวจี่นั้นได้อานิสงส์มากเช่นเดียวกับการทำบุญด้วยวิธีอื่น ส่วนตอนบ่ายจะมีการเทศน์นิทานชาดก โดยส่วนใหญ่จะเป็นนิทานพื้นบ้านทางภาคอีสาน เช่น ท้าวก่ำกาดำ, จำปาสี่ต้น ฯลฯ

เบญจรงค์


5 สี "เบญจรงค์" ชื่อเรียกเครื่องถ้วยชนิดหนึ่งที่มีใช้ในประเทศไทยแต่ครั้งอยุธยาสืบถึงรัตนโกสินทร์ เป็นเครื่องถ้วยที่สั่งทำพิเศษจากแผ่นดินใหญ่โพ้นทะเล ช่างไทยออกแบบ ให้ลาย ให้สี ส่งไปให้ช่างจีนผลิตในประเทศจีน แล้วช่างไทยก็ตามไปควบคุมการผลิตให้ออกมาได้รูปลักษณะงามอย่างศิลปะไทย โดยเฉพาะลวดลายสีสันแสดงเอกลักษณ์ไทยชัดเจน
เครื่องเบญจรงค์หมายถึงเครื่องปั้นดินเผาเคลือบ เขียนลายโดยลงยาด้วยสีต่างๆ นอกจากสีหลักทั้ง 5 อันมีสีดำ ขาว เหลือง แดง และเขียว(หรือคราม) ยังมีสีรองอย่างชมพู ม่วง น้ำตาล แสด มาเสริมสวย เป็นเครื่องถ้วยที่ต้องใช้ฝีมือสูง ต้องละเอียด ประณีต จากเครื่องใช้ในรั้วในวังถึงปัจจุบันเครื่องเบญจรงค์ยังได้รับความนิยมโดยเฉพาะในแง่เป็นตัวแทนแสดงความเป็นไทย (แม้รากฐานจะเป็นของจีนก็ตาม)
ย้อนอดีตสู่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20 รัชสมัยจักรพรรดิซวนเต๊อะ (ครองราชย์พ.ศ.1969-1978) ราชวงศ์หมิง มีการผลิตเครื่องเคลือบเขียนลายลงยาขึ้นครั้งแรกที่แคว้นกังไซ (ไทยเรียกกังไส ที่มาของชื่อเรียกเครื่องกังไส) มณฑลเจียงซี และพัฒนาต่อมาจนเป็นที่นิยมอย่างมากในรัชสมัยจักรพรรดิเฉิงฮั่ว (พ.ศ.2008-2030) การเขียนลายโดยวิธีลงยาดังกล่าวใช้ตั้งแต่ 3 สีขึ้นไป
ถึงยุคจักรพรรดิวั่นลิ (พ.ศ.2116-2162) มีการผลิตเครื่องเคลือบแบบเบญจรงค์มากที่สุด ติดต่อมาถึงสมัยราชวงศ์ชิง (ปกครองจีนระหว่างพ.ศ.2187-2454) ความสวยงามเข้าตาสยาม จีนรับออร์เดอร์ไม่หวัดไหวให้ผลิตภาชนะเป็นแบบไทย มีการเขียนลาย ให้สี ส่งเป็นตัวอย่างมาให้ เป็นเบญจรงค์ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นของไทยอย่างยิ่ง ครั้นจะผลิตเองยามนั้นก็ออกจะติดขัดอยู่ เนื่องจากไทยยังไม่มีเทคนิคการผลิตที่ดี มีแต่ฝีมือเยี่ยมในการออกแบบลวดลายได้วิจิตร
เครื่องเบญจรงค์มาแรกเริ่มผลิตในประเทศไทยในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง เป็นเตาเผาของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเครื่องเบญจรงค์ หรือเรียกเครื่องถ้วย มีทั้งแก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ กาน้ำชา ชุดถวายข้าวพระพุทธ ตลับใส่ของ และนานา ขั้นตอนการผลิตเริ่มจาก 1.นำเครื่องเคลือบขาวมาล้างให้สะอาด (หากสามารถ เป็นเครื่องดินเผาที่ปั้นเองก็เข้าที แล้วนำมาเคลือบขาว) 2.ตั้งแป้นวนเส้นกำหนดลาย 3.เขียนลายด้วยน้ำทอง 4.ลงสี 5.วนทองส่วนที่เหลือ และ 6.เข้าเตาเผา
ลายยอดนิยมคือลายกระหนก ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายเทพนม นรสิงห์
เครื่องเบญจรงค์ เป็นงานหัตถศิลปล้ำค่า ที่มีความสวยงามแสดงถึงวิถีวัฒนธรรม รสนิยม และเอกลักษณ์ของไทย รัฐบาลจึงเลือกนำมาเป็นภาชนะสำหรับจัดเลี้ยงอาหารค่ำ ต้อนรับผู้นำประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจภูมิภาคเอเซีย และแปซิฟิค (เอเปค 20003) ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯระหว่างวันที่ 20 – 21 ตุลาคมนี้ นอกจากนี้ยังจัดทำเป็นของที่ระลึกเพื่อมอบให้กับผู้นำประเทศต่างๆ อีกด้วย เครื่องเบญจรงค์มีการผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อใด ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด แต่สันนิษฐานจากการขุดพบที่พระนครศรีอยุธยา และจากลักษณะของลวดลาย สี เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเครื่องถ้วยจีน และบางชิ้นที่มีเครื่องหมายบอกรัชกาล เชื่อว่ามีการสั่งทำเครื่องเบญจรงค์จากประเทศจีนมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยช่างคนไทยจะเป็นผู้วาดลวดลาย และเขียนสี ส่งไปผลิตในจีน ดังนั้นลักษณะของเครื่องเบญจรงค์จึงมีความงดงามอย่างไทย ยิ่งกว่าเครื่องปั้นดินเผาประเภทอื่นๆ แม้แต่เครื่องสังคโลกซึ่งเป็นของไทย ผลิตในประเทศไทย ก็ยังไม่แสดงเอกลักษณ์ไทยอย่างเครื่องเบญจรงค์ ภาชนะที่ผลิตจากเบญจรงค์มีหลายประเภท ได้แก่ ชาม จาน โถ จานเชิง ชามเชิง ช้อน กระโถน กาน้ำ ชุดถ้วยชา ฯลฯ การใช้สีบนเครื่องเบญจรงค์ นิยมใช้ห้า สี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีตั้งแต่ สี่ สี ไปจนถึง แปด สีก็มี จนถึงเจ็ดแปดสี สีหลักที่ใช้ได้แก่ แดง เหลือง ขาว ดำ เขียว หรือน้ำเงิน สีอื่นได้แก่ ชมพู ม่วง แสด น้ำตาล ในสมัยก่อนมีการสั่งทำเครื่องเบญจรงค์สำหรับใช้ในราชสำนัก วังเจ้านาย และบ้านขุนนางชั้นสูง แต่ปัจจุบันเครื่องเบญจรงค์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั้งยุโรป และเอเซีย สร้างชื่อเสียงและทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมากมายลวดลายที่เขียนบนเครื่องเบญจรงค์ เป็นลายโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ได้แก่ ลายเทพพนมนรสิงห์ ลายบัวเจ็ดสี ลายประจำยาม ลายเบญจมาศ ลายวิชาเยนท์ ฯลฯ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีลายที่นิยมเพิ่มขึ้นได้แก่ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายนกไม้พญาสิงขร ลายกุหลาบทอง ฯลฯ สำหรับเบญจรงค์ที่มอบให้กับผู้นำเอเปคครั้งนี้ มีทั้งหมด 6 ชิ้น โดยร้านปิ่นสุวรรณเบญจรงค์ ซึ่งเป็นร้านเบญจรงค์เก่าแก่ที่อนุรักษ์ลายโบราณ ตั้งอยู่ที่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำ ช่างของร้านได้เลือกลายวิชาเยนท์เขียน ลงบนเบญจรงค์ชุดดังกล่าว ซึ่งเป็นลวดลายที่มีความโดดเด่นในการผูกลาย ผสมผสานความเป็นตะวันตก และตะวันออกได้อย่างลงตัว อีกทั้งสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาไทย ความพิเศษของเบญจรงค์ชุดนี้ อยู่ที่เป็นงานฝีมือ หรือที่เรียกว่า หัตถกรรมล้วนๆ ในกรรมวิธีลงลายน้ำทอง และยังใช้น้ำทองคำจริง 22 กะรัตนำเข้าจากประเทศเยอรมนี ช่วยเพิ่มความงดงามล้ำค่าให้กับเครื่องเบญจรงค์ดังกล่าวยิ่งขึ้นเป็นที่น่าภูมิใจที่ไทยเรามีหัตถศิลปอันงดงาม ซึ่งนอกจากจะสามารถสร้างความประทับใจแก่ชาวต่างชาติที่ได้พบเห็นแล้ว ยังได้เผยแพร่ความเป็นไทยให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์อีกด้วย

แมวนำโชค

จากคติความเชื่อของประเทศญี่ปุ่นจะเรียกแมวกวักว่า "มาเนะคิเนะโกะ" ( MANEKI NEKO ) ซึ่งคำว่า มาเนะคิ แปลว่า เชื้อเชิญ และคำว่า เนะโกะ แปลว่า แมว สรุปความหมายก็คือ แมวที่ทำหน้าที่เชื้อเชิญเงินทอง โชคลาภ หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า แมวกวัก นั่นเอง และจากการสืบแสวงหาข้อมูลมาทำให้ได้พบกับตำนานแมวกวักถึง 2 ตำนาน ก็ขอแบ่งออกเป็น 2 เรื่องด้วยกัน ความเชื่อเรื่องแมวนำโชคนี้มีมานานกว่า 400 ปีมาแล้ว

ตามตำนานเล่าว่ามีหญิงชราคนหนึ่ง มีฐานะยากจนมาก แต่ก็พยายามจะเจียดอาหาร เท่าที่มีแบ่งเลี้ยงแมวที่เธอรัก แต่วันหนึ่งเธอก็ไม่สามารถเลี้ยงแมวตัวนั้นต่อไปได้อีก เธอจึงนำมันไปปล่อย คืนนั้นเธอนอนร้องไห้ด้วยความเสียใจ แล้วเธอก็ฝันเห็นแมวมาบอกให้เธอปั้นรูปแมวด้วยดินเหนียว แล้วจะทำให้โชคดี หญิงชราตื่นขึ้นมาก็ปั้นแมวด้วยดินเหนียวตามความฝัน วันนั้นมีแขกมาหา และขอซื้อแมวตัวนั้นไป ยิ่งหญิงชราปั้นแมวมากเท่าใด ก็มีคนมาขอซื้อมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดเธอก็มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงแมวที่เธอรักตลอดไป หลังจากนั้นมากคนญี่ปุ่น ก็มีความเชื่อว่าแมวเป็นสิ่งนำโชค จึงมีการทำเป็นแมวนางกวักที่เราได้เห็นๆ กันทั่วไป แต่มีข้อสังเกตด้วยนะ แมวที่กวักมือซ้ายจะเรียกคนเข้าร้าน ยิ่งยกแขนกวักสูงแค่ไหน ก็เรียกคน ได้มากแค่นั้น แต่ถ้ากวักมือขวา เป็นการเรียกเงินทอง และความโชคดีเข้าบ้าน ส่วนแมวสามสีกวักมือซ้ายที่ถือว่าโชคดีที่สุด เงินทอง ไหลมากเทมาเลยหล่ะ และแมวสีดำ ผู้หญิงญี่ปุ่นก็มีความเชื่อว่า สามารถใช้เป็นเครื่องรางป้องกันภัยอัตรายทั้งปวงได้


แมวกวักนำโชคญี่ปุ่น

กวักมือซ้าย = การงาน

กวักมือขวา = โชคลาภ

แมวถือลูกแก้ว , แมวพนมมือ = การขอพร